เกม : Destiny 2: Shadowkeep
แพลตฟอร์ม : PS4, Xbox One และ PC
ราคา: 1,100 บาท (ราคา PS4)
วันวางจำหน่าย: 01 ตุลาคม 2019
Destiny 2 เข้าสู่ปีที่ 3 นับตั้งแต่วางจำหน่ายไปเมื่อกันยายน 2017 ในระหว่างสองปีที่ผ่านมาเกิดกาารเปลี่ยนแปลงมากมายโดยเพราะการแยกทางกับ Activision/Blizzard ทำให้ทางค่ายพัฒนาเกมอย่าง Bungie มีอิสระในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ตามที่ตัวเองต้องการมากขึ้น จึงเป็นเหตุทำให้ทางค่ายได้ทำการปรับโครงสร้างเกม Destiny 2 ใหม่ทั้งหมดเพื่อดึงผู้เล่นให้กลับมาสู่จักรวาล Desitny กับส่วนต่อขยายล่าสุดของเกม Shadowkeep ซึ่งจะนำผู้เล่นกลับมายังดวงจันทร์อีกครั่้งเพื้อย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นในเกม Destiny ภาคแรก มาดูกันครับว่าด้วยส่วนต่อขยายนี้จะสามารถมัดใจผู้เล่นให้กลับมาเล่นได้อีกครั้งหรือไม่ เรียนเชิญอ่านรีวิวเกม Destiny 2: Shadowkeep อนาคตใหม่ของซีรี่ย์กับการหวนคืนสู่ดวงจันทร์
**บทความรีวิวนี้เป็นบทความไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่อง และตัวระบบเกมบางส่วน เพื่อให้แฟนๆ ได้รับประสบการณ์สูงสุดในการเล่น และตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสเกมนี้ครับ

เนื้อเรื่อง
เรื่องราวใน Shadowkeep จะนำพาเรากลับสู่ดวงจันทร์อีกครั้งและได้นำ Eris Morn จาก Desitny ภาคแรกกลับมามีบทบาทสำคัญ ในส่วนต่อขยายนี้ Eris Morn ได้ไปสำรวจดวงจันทร์หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับบางสิ่งบนดวงจันทร์ที่ทำให้ร่างของศัตรูและร่างของสหายที่ตายจากการสู้รบกลับมามีชีวิตอีกครั้ง สิ่งนี่เองดึงดูดเหล่า Hive กลับมายังดวงจันทร์อีกครั้งและได้ทำการล้อมป้อมปราการ Scarlet Keep อันลึกลับเอาไว้ ผู้เล่นจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่เรียกว่า Nightmares มันคืออดีตศัตรูที่เราเคยเผชิญมาไม่ว่าจะเป็น Omnigul, Skolas, Phogoth, Ghaul และ Crota กลับมาท้าทายผู้เล่นอีกครั้ง
แม้ว่าทางทีมพัฒนาจะนำพาผู้เล่นกลับมาดวงจันทร์ดวงเดิมกับภาคแรกแต่ด้วยกาลเวลาที่เปลี่ยนไปนั้น พื้นที่และโครงสร้างต่าง ๆ เสื่อมสภาพเก่าและดูน่ากลัวกว่าภาคแรก นอกจากนี้ยังมีรอยแยกขนาดมหึมาตัดผ่านทั่วทั้งดวงจันทร์และเต็มไปด้วยพื้นที่ลับให้ผู้เล่นได้ไปสำรวจมากมาย แต่แผนที่บนดวงจันทร์แทบจะเหมือนกับแผนที่ดวงจันทร์ในภาคแรกเลยเพียงแค่ใน Shadowkeep แผนที่มีขนาดใหญ่กว่าถึง 3 เท่า
หารใครได้สัมผัสเกม Destiny ไม่ว่าจะภาคหนึ่งหรือสองก็จะรู้ว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างอ่อนมาไม่ชวนน่าติดตามสักเท่าไร แต่เนื้อเรื่องของ Shadowkeep กลับดีเกินคาดและชวนน่าติดตามมีความซับซ้อนมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้เล่นตื่นเต้นอยู่ตลอดตั้งแต่การลักลอบเข้าป้อมปราการ Scarlet Keep ไปจนถึงการสู้กับบอส ล้วนแล้วพัฒนาออกมาได้เป็นอย่างดีเรียกได้ว่าสามารถขจัดข้อเสียเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของเกมออกไปได้เลย แต่ก็น่าเสียดายที่เนื้อเรื่องของส่วนเสริมนี้ก็จบเร็วเกินไปหน่อยโดยยาวประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรก็ตามถือว่า Bungie มาถูกทางแล้ว ต้องสร้างสรรค์เนื้อเรื่องแบบนี้แหละเพื่อเอาใจแฟน ๆ
เกมเพลย์
Shadowkeep นำเสนอเนื้อเรื่องอันน่าติดตามก็จริงแต่ถ้าพูดถึงในส่วนของเกมเพลย์นั้นแทบจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยครับ เกมยังคงนำเสนอสไตล์ในแบบฉบับของซีรี่ย์ โดยระบบที่เปลี่ยนแปลงในส่วนเสริมนี้คือระบบเกราะ (Armor System) ซึ่งถูกยกเครื่องใหม่และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Armor 2.0 เอาจริงลักษณะการใช้งานหลายอย่างของระบบชุดเกราะเดิมเพียงแต่ระบบใหม่นี้จะอนุญาตให้ผู้เล่นปรับแต่งชุดเกราะและใส่ความสามารถเข้าไปยังชุดเกราะได้ โดยชุดเกราะแต่ละชุดสามารถสวมแร่พลังงานประเภทต่าง ๆ เพื่อเสริมให้ตัวละครแข็งเกร่งมากยิ่งขึ้น ข้อดีคือด้วยทางเลือกใหม่นี้มันจะช่วยให้ระบบปรับตัวเข้าตามสไตล์การเล่นของแต่ละคนได้ดีมากขึ้นนั่นเอง ถามว่ามันทำให้รู้สึกแตกต่างกันมากไหม ต้องขอตอบว่าไม่ได้สร้างความแตกต่างสักเท่าไร แล้วด้วยระบบและกิจกรรมอันมากมายของเกมบางครั้งก็ลืมด้วยซ้ำว่ามีระบบนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ด้วย
ศัตรูใน Shadowkeep ก็ถูกปรับให้ท้าทายผู้เล่นมากยิ่งขึ้นด้วย โดยการที่จะเอาชนะและกำจัดศัตรูเลเวลสูง ๆ ได้นั้นผู้เล่นจำเป็นต้องใส่ไอเท็ม Mods พิเศษเข้าไปเสริมบนตัวละครของท่าน ดังนั้นเป็นโอกาสดีครับที่จะได้ลองปรับแต่งชุดเกราะของตัวเอง หรือลองปรับเปลี่ยนอาวุธหลาย ๆ แบบเพื่อช่วยต่อกรกับศัตรูถึก ๆ ได้ด้วยระบบนี้ทำให้ผู้เล่นอาจจะรู้สึกถึงความแปลกใหม่ของเกมเพลย์ขึ้นมาเล็กน้อย
แน่นอนครับด้วยส่วนเสริมใหม่แบบนี้ก็ต้องมีอาวุธใหม่ ๆ เข้ามาให้ผู้เล่นสะสมเพิ่ม อย่างแรกธนูหรือที่เรียกว่า Leviathan’s Breath ธนูระเบิดยิงออกมาไปเพื่อสร้างความเสียหายแบบกลุ่มได้ ชิ้นถัดไปปืนใหญ่มือเดียวหรือ “one-handed sniper” สร้างความเสียหายได้มาก แต่ถ้ายิงถี่ไปอาจจะสร้างความเสียหายให้ตัวเองแทน นอกจากนี้ยังมีร็อคเก็ทลันเซอร์ชื่อ Deathbringer Exotic ที่ยิง void orbs กระจายออกไปยังศัตรูและปืนกล Xenophage ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลฟิวชั่น
นอกจากนี้ใน Shadowkeep ยังนำเสนอ raid ใหม่ที่เรียกว่า Garden of Salvation raid แบบ 6 คน ซึ่งจะตั้งอยู่ใน Black Garden ซึ่งเป็นดินแดนทางเลือกที่สร้างขึ้นโดย Vex ในตอนท้ายของของ Destiny ภาคแรกซึ่งก็อาจจะพอคาดเดากันได้ว่าจะเจออะไร Raid นี้กินเวลาประมาณ 30 นาที – 2 ชั่วโมง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความยากและไอเท็มตัวละครที่เราใส่ด้วย ไม่เพียงแค่ Raid ใหม่เท่านั้นแต่ทีมงานยังใส่ dungeon ใหม่เข้ามาด้วย โดยจะเปิดให้เล่นในวันที่ 29 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปครับ
สำหรับผู้เล่นที่กลับมาสามารถเล่นส่วนเสริมนี้ได้ทันทีที่เข้าเล่นเกม แต่ในขณะที่ผู้เล่นใหม่ทาง Bungie ได้เปิดโอกาสให้พัฒนาตัวละครได้เร็วมากขึ้นและชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อความโดยไม่มีสิ่งกีดขวางโดยทาง Bungie ยกฐานพลังงานตัวละครขั้นต่ำไปเป็น 750 แต่ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเล่นถึงเลเวล 30 เหมือนแต่ก่อนแล้ว ดั้งนั้นใครเพิ่งจะเล่นเป็นครั้งแรกไม่ต้องกลัวเลยว่าจะต้องใช้เวลาฟาร์มนานครับ
กราฟิก
สำหรับกราฟิกของเนื้อหาเสริม Shadowkeep ก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ เพราะเกมหลักยังคงเป็นเกม Destiny 2 เหมือนเคย ดังนั้นหากจะเปรียบเทียบกราฟิกนั้นผู้เขียนขอเปรียบเทียบดวงจันทร์ระหว่างภาคแรกและภาค 2 นี้ละกันครับ ดวงจันทร์ในภาคนี้ได้รับการปรับปรุงมาจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ ทั้งการเล่นแสงพื้นผิวของดวงจันทร์รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอันเสื่อมโทรมล้วนแล้วนำเสนอให้เห็นว่าเหตุการณ์ใน Shadowkeep ห่างจากภาคแรกนานหลายปีเลยทีเดียวครับ ถ้าถามผู้เขียนตามตรงว่าตื่นเต้นกับกราฟิกของเกมไหม ผู้เขียนคงตอบว่าไม่ตื่นเต้นเท่าไรเพราะเกมนี้เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ซึ่งด้วยกราฟิกเกมอายุกว่า 2 ปีนั้นถือว่ายังอยู่ในมาตรฐานเกมปัจจุบันอยู่
Verdict
Shadowkeep แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของทาง Bungie ซึ่งหันมาใส่ใจสร้างสรรค์เรื่องราวของเกมให้สนุกน่าติดตามกว่าครั้งไหน ๆ ด้วยการพาผู้เล่นกลับมาสู่ดวงจันทร์นั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนานน่ากลัว แม้ว่า Shadowkeep อาจไม่ใหญ่และสร้างความแตกต่างเท่ากับ Forsaken แต่สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ถึอว่าระบบเกมเพลย์จะไม่ได้ต่างจากเดิมมาก แต่ทางทีมงานก็พยายามปรับปรุงเกมเพลย์ให้มีความหลากหลายและท้าทายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบ Armor 2.0 และการปรับแต่งระบบศัตรู หากใครคิดจะซื้อเกม Destiny 2 มาเล่นนี่คือเวลาอันเหมาะสมแล้ว หรือใครที่ครอบครองเกม Destiny อยู่แล้วและลังเลจะซื้อ Shadowkeep ผู้เขียนรับประกันว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
7.5/10
จุดเด่น (Pro)
- เนื้อเรื่องเข้มข้นกว่าเดิมชวนน่าติดตาม
- ระบบ Armor 2.0 อนุญาตให้ผู้เล่นปรับแต่งชุดเกราะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้เกมเพลย์
- สภาพแวดล้อมของดวงจันทร์ทำออกมาได้ดีมาก ชวนให้คิดถึง Destiny ภาคแรก
จุดสังเกต (Con)
- เนื้อเรื่องสั้นไปหน่อยมีความยาวแค่ 4 ช่วโมง
- ระบบเกมเพลย์โดยรวมยังไม่ทำให้รู้สึกแปลกใหม่มากนัก
รีวิวและเขียนบทความโดย Play4Thai
ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Asia
สำหรับโค้ดเกมที่ให้เรามารีวีวครับ