เกม : Final Fantasy VII Remake
แพลตฟอร์ม: PS4 ( เอ็กซ์คลูซีฟเป็นเวลา 1 ปี)
ราคา: 1,890 บาท
วันวางจำหน่าย: 10 เมษายน 2020
สิ้นสุดการรอคอยของเกมแห่งตำนานที่เกมเมอร์ที่ทุกคนต้องการให้นำกลับมาทำใหม่มากที่สุดกับเกม Final Fantasy VII เกมในซีรี่ย์ Final Fantasy ที่ถูกขนานนามว่าดีที่สุดจนสุดท้ายในปี 2015 ทางบริษัท Square Enix ได้ตัดสินใจนำเกม Final Fantasy VII กลับมาสร้างใหม่ซึ่งการพัฒนายืดเยื้อมากว่า 5 ปี และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึงกับเกม Final Fantasy VII Remake กับการสร้างเกมใหม่ตั้งแต่ต้น กลไกของเกมถูกยกระดับให้ทันสมัยมากขึ้น, กราฟิกสุดอลังการมาพร้อมเรื่องราวที่ถูกต่อเติมจากต้นฉบับจนเรื่องราวไม่สามารถจบในแผ่นเกมแผ่นเดียวได้ มาดูกันซิว่าในเกม Final Fantasy VII Remake Part I นี้จะมันส์สมการรอคอยขนาดไหน เรียนเชิญอ่านรีวิว Final Fantasy VII Remake รีวิว Final Fantasy VII Remake ที่สุดของซีรี่ย์ไฟนอลแฟนตาซีที่เรารอคอย
**บทความรีวิวนี้เป็นบทความไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่อง และตัวระบบเกมบางส่วน เพื่อให้แฟนๆ ได้รับประสบการณ์สูงสุดในการเล่น และตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสเกมนี้ครับ
เนื้อเรื่อง
Final Fantasy VII Remake ยังคงเนื้อเรื่องต้นฉบับที่ทำไว้อย่างดีเยี่ยมในปี 1997 ไว้เป๊ะ ๆ แต่เพื่อให้แฟนที่เคยเล่นมาแล้วรู้สึกถึงความใหม่ของเกมดังนั้นทีมพัฒนาจึงได้ขยายความเนื้อเรื่องออกไปให้มีความละเอียดและเจาะลึกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้นด้วย โดยเกมนำเสนอเรื่องราวของโลกที่ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท Shinra Electric Power องค์กรเงามืดที่คุกคามทุกชีวิตบนโลกเพื่อเปลี่ยนมาเป็นพลังงาน mako เรื่องราวเริ่มต้นในเมืองสาขา Midgar เมื่อกลุ่มต่อต้าน Shinra ที่เรียกตัวเองว่า Avalanche ได้ยกระดับการต่อต้านไปอีกขั้น Cloud Strife ผู้ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกของหน่วย Shinra’s elite SOLDIER ที่ได้ผันตัวเองมาเป็นทหารรับจ้าง และให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่อต้าน
เริ่มต้นเกมมาด้วยเหล่า Avalanche พร้อม Cloud บุกเข้าไปวางระเบิดทำลายเตาปฏิกรณ์หมายเลข 8 จากนั้น Cloud ได้ตามพวก Barrettกลับมายัง Sector 7 ที่นั้นเอง Cloud ได้พบกับ Tifa อีกครั้ง พวกเขาวางแผนจะบุกไประเบิดทำลายเตาปฏิกรณ์หมายเลข 5 ซึ่งก็เกิดเรื่องราวอันซับซ้อนจน Cloud ไม่รู้เลยว่ากำลังเอาชีวิตไปเสี่ยงและผลกระทบอันยิ่งใหญ่ที่รอคอยเขาอยู่
จากการได้สัมผัสผู้เขียนเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรเกม Final Fantasy VII Remake ถึงต้องถูกแบ่งออกมาเป็นพาร์ท ทีมงานพยายามเล่าเรื่องราวได้ละเอียดมาก ๆ ไม่รีบจนรับรู้ได้ถึงเรื่องราวให้หลาย ๆ มุมที่ไม่ได้ปรากฏในเกมต้นฉบับ แต่ถึงกระนั้นแล้วเรื่องราวที่ถูกเสริมเข้าไปไม่ได้กระทบต่อไทม์ไลน์ของเนื้อเรื่องต้นฉบับนะ มันเหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวที่ทีมงานตั้งใจจะนำเสนอในเกมต้นฉบับนั่นแหละแต่ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีสมัยนั้นมันเลยทำไม่ได้
เรื่องราวใหม่ที่ถูกสอดแทรกเข้ามามันทำให้เข้าใจความรู้สึกตัวละครแต่ละตัวได้ลึกซึ้งมากขึ้น มีเซอร์ไพรส์มากมายที่ทำให้ผู้เขียนอึ้ง ขณะเดียวกันพื้นที่และฉากหลาย ๆ ฉากถูกถอดแบบมาจากต้นฉบับ ชวนให้นึกถึงสมัยเด็กที่ได้สัมผัสเกมนี้มื่อ 23 ปีก่อน สื่งที่ผู้เขียนชอบอีกอย่างคือเกมได้ใส่ระบบให้เราได้ตัดสินใจบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเกมด้วยนะ (บางครั้งเกมก็ทำให้เราคิดและตัดสินใจลำบากเหมือนกัน)
แม้ว่าในพาร์ทแรกนี้เนื้อเรื่องจะจบลงในตอนที่พวก Avalanche หนีออกจากเมือง Midgar แต่ผู้เขียนบอกได้เลยว่าเกมไม่สั้นอย่างที่หลายคนคิดนะครับเพราะแค่เนื้อเรื่องพาร์ทนี้ก็เข้นข้นขนาดนี้โดยกินเวลาไปกว่า 27 ชั่วโมง รอเล่นพาร์ทต่อไปไมไหวแล้ว
เกมเพลย์
Final Fantasy VII Remake นำเสนอเกมเพลย์รูปแบบแอ็คชั่นอาร์พีจีโ ดยเกมมีออพชั่นให้เลือกตั้งแต่ก่อนเริ่มเล่นกันเลยครับว่าจะเลือกระบบต่อสู้แบบไหนระหว่างแบบ Classic ซึ่งเป็นรูปแบบเทิร์นเบสป้อนคำสั่งให้ตัวละครโจมตี หรือแบบเกมเพลย์ที่เรียกว่าระบบ ATB ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างแอ็คชั่นและเทิร์นเบส ระบบจะอนุญาตให้บังคับตัวละครได้ทีละตัวแต่สามารถสลับไปบังคับตัวละครอื่นได้และเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระบุกเข้าบวกศัตรูไปเรื่อย ๆ เพื่อสะสมค่า ATB เมื่อหลอด ATB เต็มผู้เล่นก็จะสามารถใช้คำสั่งต่าง ๆ ได้แก่ Abilities (ทักษะ), Spell (สาป), Item (ไอเท็ม) โดยนอกจากนี้ยังมีท่าพิเศษ (Limit) และการเรียกอสูร (Summon) หลักสำคัญคือการสะสม ATB นั่นแหละเพราะหากหลอด ATB หมดเป็นอันว่าไม่สามารถใช้ท่าโจมตีพิเศษหรือแม้แต่ไอเท็มได้เลย
การเข้าบวกศัตรูไม่เพียงสะสมค่าหลอด ATB เท่านั้นแต่หากโจมตีซ้ำ ๆ จนศัตรูเริ่มจะต้านไม่อยู่บริเวณหลอด Stagger ของศัตรูก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแตกเนื่องจากรับแรงกดดันไม่ไหว ผู้เล่นจะสามารถสร้างความเสียหายแก่ศัตรูแบบคูณสูงสุด 160x เปรียบเสมือนว่าศัตรูไม่มีเกราะป้องกันอีกต่อไปจนกว่าหลอดดังกล่าวจะค่อยลดลงจนหมด การบวกเพื่อสร้างแรงกดดันจนทำให้ศัตรู Stagger นั่นสำคัญมากหากต้องสู้กับบอสต่าง ๆ ภายในเกมเพราะไม่เช่นนั้นแล้วการต่อสู้จะกินเวลานานมาก ๆ แต่แน่นอนว่าการจะทำให้ศัตรู Stagger นั้นต้องอาศัยการเข้าบวกอย่างต่อเนื่อง หากไม่เช่นนั้นหลอด Stagger ก็มีสิทธิ์ลดลงจนหมด ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ต้องเริ่มสะสมหลอดดังกล่าวใหม่หมด
การต่อสู้ในเกมมักจะต่อสู้เป็น Party ซึ่งจะมีสมาชิกมาเข้าร่วมมาช่วยต่อสู้ แต่บางครั้งตามเนื้อเรื่องบางทีเราก็อาจจะต้องลุยเดี่ยว หากต่อสู้แบบทีมแน่นอนผู้เล่นสามารถสลับตัวละครไปบังคับตัวอื่นที่อยู่ใน Party ขณะนั้นได้ไม่ว่าจะเป็น Barret, Tifa หรือ Aerith เป็นต้น ผู้เขียนชอบการออกแบบของทีมงานในการสลับตัวละครมากเพียงแค่ใช้ปุ่มบังคับทิศทางบนตัวคอนโทรลเลอร์ก็สามารถเปลี่ยนตัวละครได้แล้ว มันเร็วและว่องไวมาก การสลับเล่นตัวละครมีความสำคัญเหมือนกันไม่ใช่ว่าเราจะควบคุม Cloud ทั้งการต่อสู้มันจะแพ้เอา เพราะตัวละครแต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกันออกไป เราก็ต้องใช้ความสามารถพิเศษนี้เองในการต่อสู้เป็นทีมเวิร์คเพื่อเอาชนะศัตรูได้สำเร็จ
อย่าง Barret จะมุ่งเน้นโจมตีระยะไกลด้วยแขนปืนกลของเขา, Tifa โจมตีระยะใกล้ด้วยหมัดของเธอช่วยเร่งสะสมหลอด Stagger ได้ดีหรือ Aerith โจมตีระยะไกลแต่ความสามารถเธอคือสายฮีลช่วยชุบหลอดเลือดให้กับทีม และ Cloud เรารู้อยู่แล้วกับการใช้ดาบมหึมาของเขาฟันศัตรูด้วยดาเมจหนัก ๆ นอกจากท่าพิเศษในคำสั่ง Attack แล้ว ยังมีท่าพิเศษจากการกดปุ่มสามเหลี่ยมด้วยนะ ท่าพิเศษนี้ไม่ได้ใช้หลอด ATB แต่จะเป็นลักษณะ Cool Down ยกตัวอย่างเช่น Cloud เมื่อกดสามเหลี่ยมจะเป็นการสลับโหมดการฟันระหว่าง Punisher Mode (ใช้ในการ Parry ศัตรู) หรือ Operator Mode (ใช้โจมตีศัตรูในวงกว้าง) ขณะเดียวกัน Barret จะเป็นการใช้ท่า “Forcus Shot” ยิงใส่ศัตรูสร้างความเสียหายได้ไม่น้อย
เรียกได้ว่าระบบต่อสู้ครบเครื่องจริง ๆ มันให้ความรู้สึกแบบไม่ใช่แอ็คชั่นเต็มตัวแต่มีกลิ่นอายความเป็นอาร์พีจีค่อนข้างสูงเลยผู้เขียนคิดว่าระบบการต่อสู้แบบ ATB ที่ผู้พัฒนาออกแบบมามันสมบูรณ์และไร้ที่ติเอามาก ๆ จากการต่อสู้นี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือระบบไอเท็ม, อาวุธ และสกิล ตามสไตล์ซีรี่ย์ Final Fantasy ระบบออกแบบมาได้ละเอียดพอสมควรเลย มาดูที่ระบบไอเท็มก่อน ระบบไอเท็มก็จะมีไอเท็มต่าง ๆ ที่เราคุ้นหูกันไม่ว่าจะเป็น Potion ต่าง ๆ (High Potion, Mega Potion) หรือจะเป็น Phoenix down ล้วนแล้วใช้ในการต่อสู้ทั้งสิ้น
แต่มันจะมีอีกหนึ่งระบบไอเท็มที่เรียกว่า Materia ที่แฟนไฟนอลน่าจะคุ้นหูกันดี มันเป็นอัญมณีซึ่งมีความสามารถแตกต่างกันเช่นสามารถฮีลเลือดได้หรือ การปล่อยเวทมนตร์ธาตุต่าง ๆ เมื่อนำอัญมณีนี้ใส่อาวุธก็จะมีความสามารถทักษะเพิ่มขึ้น อัญมณีนี้ก็มีหลายคลาสหลายแบบสามารถหาได้จากการซื้อในร้านค้าหรือพื้นที่ต่าง ๆ ในเกม นอกจากนี้ยังมีเหมือนกับภารกิจย่อยเรียกว่า Battle Intel ในระหว่างดำเนินเรื่องด้วยหากทำสำเร็จก็จะปลดล็อคอัญมณีใหม่ ๆ นั่นเองครับ
ส่วนระบบอาวุธในเกมก็มีอาวุธของแต่ละตัวละครแยกกันไปครับ อาวุธของแต่ละตัวละครไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้อาวุธใหม่ ๆ สามารถได้มาจากการซื้อหรือได้จากการตะลุยเนื้อเรื่อง การอัพเกรดอาวุธก็จะต้องใช้คะแนน SP แลกมา คะแนน SP ได้มาจากเมื่อเลเวลของตัวละครอัพสูงขึ้นหรือการกำจัดบอส คะแนน SP ของแต่ละตัวละครก็แตกกันด้วยนะ แต่ข้อดีคือคะแนน SP แยกเป็นอาวุธ ๆ ไปดังนั้นสมมุติว่าเรามีคะแนน SP อยู่ 56 คะแนน และเราใช้คะแนน SP ไปกับอาวุธชิ้นปัจจุบันไปจนหมด หากเมื่อเราได้อาวุธมาใหม่เราจะมีคะแนน SP 56 คะแนนสำหรับอัพเกรดสกิลของอาวุธชิ้นใหม่นี้ มิหนำซ้ำทักษะอาวุธแต่ละชิ้นอาจจะใช้คะแนน SP ไม่เท่ากันด้วยแถมสกิลยังซอยย่อยลงไปอีกบอกได้เลยว่าละเอียดโคตร มันดีตรงที่หากไม่พอใจในการอัพสกิลนั้น ๆ ในอาวุธแล้วสามารถทำการรีเซ็ทค่าใหม่ได้ด้วยนะ
มันยังไม่หมดนะในแต่ละตัวละครยังใส่เกราะป้องกันและสร้อยเครื่องรางเพื่อเพิ่มความสามารถได้ด้วยนะ เกราะป้องกันและสร้อยเครื่องรางสามารถหาซื้อหรือหาเก็บได้ภายในเกมเป็นไงล่ะ ละเอียดได้ใจเลยซิ พูดถึงระบบเกมมามากแล้ว มาพูดถึงภารกิจย่อยกันบ้าง ตามที่นักพัฒนาเคยบอกไว้ภารกิจย่อยของเกมจะมีความเชื่อมโยงกับไทม์ไลน์หลักของเรื่องราวด้วย จากที่ผู้เขียนได้สัมผัสก็สามารถยืนยันได้ว่าจริง มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าใส่มาเพื่อเติมเต็มช่องว่าง แต่มันใส่มาเพื่อให้ผู้เล่นได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ โดยรอบด้วย ภารกิจย่อยเหล่านี้มีตั้งแต่ช่วยกำจัดเหล่ามอนสเตอร์ที่คอยมาป่วนพื้นที่รอบ ๆ จนไปถึงภารกิจตามหาของและการท้าประลองต่าง ๆ บอกได้เลยมีครบทุกรสชาติ (จริง ๆ นะรอไปเล่นกันเองไม่อยากสปอยล์)
ทว่าภารกิจเสริมเหล่านี้จะอยู่ระหว่างเนื้อเรื่องหลักดังนั้นแล้วหากผู้เล่นข้ามไม่เล่นภารกิจเสริมนั้นจะไม่สามารถกลับมาเล่นได้อีกเพราะฉะนั้นแล้วตัดสินใจจุดนี้ให้ดี ๆ นะจ๊ะ (จะมีข้อความเตือนปรากฏขึ้นมา) นอกจากภารกิจย่อยก็ยังมีมินิเกมต่าง ๆ ให้เล่นในเกมด้วยอาทิ ปาเป้า เป็นต้น
โดยรวมแล้วระบบการเล่นไร้ที่ติมาก อัดแน่นด้วยระบบมากมาย และที่สำคัญคือมีบอสในเกมให้ปราบเยอะเลยครับไม่ต้องกลัวเลยว่าบอสจะน้อย และบอสแต่ละตัวก็มีความสามารถและวิธีการเอาชนะแตกต่างกันออกไปด้วยผู้เล่นจะต้องใช้ไหวพริบในการเอาชนะโดยเต็มอิ่มไปกับเกมเพลย์มากกว่า 18 บทและจากการได้เล่นตั้งแต่ต้นจนจบต้องใช้เวลาไปกว่า 27 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ มีแค่เรื่องเดียวเลยคือแม้ว่าแผนที่ในเกมจะไม่ซับซ้อนแต่มีระบบนำทางด้วยก็จะสะดวกขึ้นกว่านี้เยอะ
กราฟิก
สำหรับกราฟิกของเกม Final Fantasy VII Remake ทีมงานสามารถรังสรรค์ได้ไร้ที่ติสุด ๆ ครับทั้งฉากเมือง Midgar ในเขตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Sector 8, Sector 7 ที่เป็นเขตสลัมหรือ Wall Market ใน Sector 6 คือทำออกมาได้สื่อถึงชีวิตผู้คนในเมืองเอามาก ๆ และต้องชื่นชมด้วยว่าแม้เกมจะไม่ใช่แนวโอเพ่นเวิลด์สก็ตามแต่พื้นที่หลาย ๆ แห่งก็ให้ผู้เล่นสำรวจได้อย่างอิสระกว้างขว้างและมีรายละเอียดน่าสนใจมากมาย นั่นจึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนไม่รีบจบเกมแต่ค่อย ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศในเกมไปเรื่อย ๆ
ทางด้านตัวละครในเกมทางผู้พัฒนาก็ได้เอาแบบตัวละครมาจาก Final Fantasy VII: Advent Children แต่ผู้เขียนว่าทำได้ดีและสวยกว่าเดิมด้วย อีกทั้งเพลงประกอบของเกมก็ได้คุณ Masashi Hamauzu และคุณ Mitsuto Suzuki ผู้ที่มาสร้างเสียงเพลงอันไพเราะและสีสันให้กับเกม แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือทางทีมพัฒนาได้คุณ Nobuo Uemats ผู้ประพันธ์และแต่งเพลง Final Fantasy VII ต้นฉบับมาแต่งธีมเพลงให้กับเกม Final Fantasy VII Remake ชื่อว่า ‘Hollow’ โดยเฉพาะด้วยคือสุดอ่ะ อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ไม่มีโหมดถ่ายภาพในเกมนี้ ถ้ามีนี่ผู้เขียนบอกได้เลยว่าจะใช้เวลาในเกมนานกว่านี้อีก
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพของเกม Final Fantasy VII Remake ค่อนข้างทำได้ดีครับไม่มีการกระตุกของเฟรมเรตเกิดขึ้น ค่อนข้างจะลื่นไหล แต่ก็จะแลกมากับเสียงเครื่อง PS4 Pro ที่ดังเหมือนเครื่องบินเลย
Verdict
จากการรอคอยเป็นเวลา 10 กว่าปีที่จะได้สัมผัสเกม Final Fantasy VII Remake ผู้เขียนบอกได้คำเดียวว่าสมแก่การรอคอยมาก มันชวนให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของเกมต้นฉบับเมื่อ 23 ปีก่อนแต่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและสวยงามกว่าเดิมรวมไปถึงเนื้อเรื่องที่ยังคงต้นฉบับเอาไว้แต่ถูกเล่าเจาะลึกรายละเอียดของเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้นถูกใจสายเสพเนื้อเรื่องแน่นอน สำหรับเกมเพลย์ก็สามารถออกแบบได้อย่างละเอียดมากมีให้เลือกเล่นทั้งแบบระบบการต่อสู้ Classic และแบบ ATB จากระบบนี้ลงลึกไปถึงระบบอาวุธ, ระบบสกิลและระบบอื่น ๆ มากมายซึ่งพอมารวมกันแล้วมันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดอ่ะ สุดท้ายนี้สำหรับใครที่รอเกมนี้อยู่ผู้เขียนการันตีว่าไม่ผิดหวังแน่นอน และผู้เขียนรอที่จะได้สัมผัสพาร์ทต่อไปไม่ไหวแล้ว
10/10
จุดเด่น (Pro)
- เนื้อเรื่องยังคงต้นฉบับเดิม แต่ถูกสอดแทรกให้มีความละเอียดมากขึ้นและน่าติดตามมากขึ้น
- ระบบการต่อสู้มีให้เลือกทั้งแบบคลาสสิก และแบบใหม่เหมาะสำหรับผู้เล่นหน้าเก่า และหน้าใหม่
- ระบบอัพเกรดอาวุธและสกิลทำออกมาได้ละเอียดดี และสามารถรีเซ็ทค่าได้ด้วย
- พื้นที่ต่าง ๆ ออกแบบมาได้อย่างละเอียดและน่าเดินสำรวจมาก
- กราฟิกโคตรอลังการ และดนตรีประกอบสุดซึ้ง
จุดสังเกต (Con)
- ไม่มีโหมดถ่ายภาพ
รีวิวและเขียนบทความโดย Play4Thai
ขอบคุณ โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงค์โปร
สำหรับโค้ดเกมที่ให้เรามารีวีวครับ