เกม : Watch Dogs: Legion
แพลตฟอร์ม : PS4, Xbox One และ PC
ราคา: 1,890 บาท
วันวางจำหน่าย: 29 ตุลาคม 2019
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า 6 ปีแล้วหลังเกม Watch Dog ภาคแรกวางจำหน่ายในปลายเดือนพฤษภาคม 2014 ซีรี่ย์ประสบความสำเร็จไม่แพ้เกมอื่น ๆ ด้วยการนำเสนอรูปแบบให้ผู้เล่นสวมบทเป็นแฮกเกอร์ตั้งแต่เนื้อเรื่องดาร์ก ๆ สู่เกมเพลย์แอ็คชั่นโอเพนเวิลด์สุดมันส์จนเป็นอีกหนึ่งเกมที่หลายคนจดจำ ด้วยความสำเร็จ Ubisoft ได้สานต่อความสำเร็จอย่างไม่รอช้ากับเกม Watch Dog 2 ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังสู้เกมภาคแรกไม่ได้ทั้งเนื้อเรื่องดูเด็กลงและไม่สมจริงเท่าภาคแรก แม้จะมีฟีเจอร์การแฮกทันสมัยมากขึ้นก็ตาม 4 ปีถัดมาทาง Ubisoft ขอกลับมาแก้ตัวอีกครั้งกับเกม Watch Dogs: Legion ครั้งนี้พวกเขานำพาผู้เล่นตะลุยกรุงลอนดอนกับคอนเซ็ปต์น่าสนใจ “Play as anyone” เล่นเป็นใครก็ได้เพื่อสร้างกองกำลังต่อต้านการเผด็จการกอบกู้ช่วยลอนดอนที่กำลังเผชิญความล่มสลาย กลับมาสู่สภาวะปกติให้จงได้ ตัวเกมจะสนุกมากน้อยขนาดไหนเรียนเชิญอ่านรีวิว Watch Dogs: Legion ปฏิบัติการรวมพลเหล่าแฮกเกอร์ต่อสู้เผด็จการในกรงลอนดอน
เนื้อเรื่อง
กรุงลอนดอน,สหราชอาณาจักร เมืองหลวงอันรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางธุรกิจสำคัญของยุโรปได้มีการนำ CtOS สมาร์ทซิตี้มาใช้งานทุกอย่างถูกควบคุมผ่านดิจิทัล แต่กลับกันเมืองต้องเผชิญกับความตกต่ำท่ามกลางความไม่สงบที่ก่อตัวขึ้นและรัฐบาลที่ล้มเหลว ด้วยสถานการณ์แบบนี้เองบุคคลลึกลับในนาม Zero-Day ที่ก่อตั้งกองกำลังต่อต้านใต้ดินขึ้นอย่างลับ ๆ โดยอ้างตัวเองในนาม DedSec และก่อเหตุวางระเบิดทั่วลอนดอน
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีบรรดาอาชญากรจากทั่วทุกมุมมืดของลอนดอนฉวยโอกาสนี้ เข้ายึดครองลอนดอนแทนที่รัฐบาลที่ล้มเหลว สมาชิกของ DedSec แทบทุกคนตายเกลี้ยง เราจะต้องเข้ามาเป็นแกนนำสำคัญในฐานะที่เป็นสมาชิกของ DedSec ต่อกรกับบรรดาพวกฉวยประโยชน์จากอาชญากรรม และเปิดโปงความลับเบื้องหลัง Zero-Day ให้ได้
เกมภาคนี้เราไม่ได้เล่นเป็นตัวเอกอะไรเพราะคอนเซ็ปต์ของเกมคือ “Play as anyone” เกมตั้งต้นให้เราเลือกตัวละครและเราจะเดินเข้าไปในฐานะที่เป็นสมาชิกของ DedSec คนใหม่ ไม่ใช่ว่าเราเล่นเป็นใครก็ได้จะไม่มีตัวละครเด่น ๆ ระหว่างทางเราจะพบกับตัวละครสำคัญหลายคนทั้งฝ่ายดีและร้าย เนื้อเรื่องของเกมมุ่งไปสู่การให้ผู้เล่นอย่างเราชักชวนใครก็ได้ที่พบในโลกโอเพนเวิลด์เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังต่อต้าน DedSec ฉะนั้นมุมมองส่วนเนื้อเรื่องของเกมดั่งกับว่าเราเป็นกลุ่มบุคคลธรรมดากำลังต่อต้านองค์กรวายร้ายขนาดใหญ่ จะไม่มีการมาปูเรื่องถึงที่มาที่ไปตัวละครซึ่งสมเหตุสมผลอยู่ (อย่าลืมว่าเราเล่นเป็นใครก็ได้) มีความดาร์กกว่าภาค 2
ข้อเสียคือเราไม่ผูกพันกับตัวละครที่เราเล่น เนื้อเรื่องปูมาตอนแรกดูน่าติดตามแต่พอเล่นไปสักพักแล้วกลับรู้สึกความน่าติดตามนี้น้อยลง มีพล็อตโฮลหลายจุดส่วนตัวแล้วเนื้อเรื่องน่าผิดหวังเล็กน้อยโดยภารกิจไม่ชวนให้อยากติดตามเนื้อเรื่องต่อ
เกมเพลย์
ไฮไลท์เด่นของเกม Watch Dogs: Legion คือ “Play as anyone” เล่นเป็นใครก็ได้ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมระบบจะมีให้เราเปิด/ปิดใช้งานออพชั่น “Permadeath” หากเราเปิดใช้งานออพชั่นนี้หมายความว่าหากสมาชิกกองกำลังต่อต้าน DedSec ของเราตายหมด Game Over ทันที ออพชั่นนี้สามารถปิดได้ภายหลังจากเริ่มเกมแต่ถ้าปิดออพชั่นนี้ไปแล้วก็จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีก ผู้เขียนแนะนำให้เปิดออพชั่นนี้ไว้ลุ้นระทึกดี

Watch Dogs®: Legion_20201023184242
หลังเริ่มเกมได้สักพักเราจำเป็นต้องชักชวนใครก็ได้ (ผู้คนที่เดินตามถนนในเกมนี่แหละ) เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังต่อต้าน DedSec เกมรองรับได้สูงสุด 40 คน NPC แต่ละคนมีความสามารถและอาวุธเฉพาะตัวเพื่อมาเสริมกองกำลังต่อต้านตั้งแต่เจ้าหน้าที่ MI6 ไปจนถึงนักสู้ข้างถนน, จากแฮกเกอร์ผู้ชาญฉลาดไปจนถึงนักขับรถพาหนี, จากฮูลิแกนทีมบอลไปจนถึงหญิงชราที่ไม่สะดุดตา
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมมาเข้าร่วมกองกำลังต่อต้านนะ เราต้องดูด้วยว่าบุคคลนั้นอยู่ฝ่ายไหนผ่านการแฮกโปรไฟล์ดูโดยการกด L1 จะโชว์หน้าต่างเหมือนเกมภาคก่อน ๆ ของซีรี่ย์จะแสดงข้อมูลอาชีพ, รายละเอียดเบื้องต้น รวมไปถึงความสามารถ, สกิลและอาวุธเฉพาะตัวของคนนั้นด้วย การเข้าไปชักชวนคือเราจะต้องเข้าไปพูดคุยกับบุคคลดังกล่าว แล้วก็ต้องทำภารกิจ “Recuitment” เพื่อให้บุคคลนี้ไว้วางใจเราก่อนเข้าเป็นสมาชิกด้วย
ภารกิจของตัวละครแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ บ้างก็ให้ไปช่วยแฮกข้อมูล บ้างก็ให้เข้าไปช่วยตัวประกัน ขึ้นอยู่กับบุคคลที่จะมาร่วมทีมมีความสามารถแค่ไหนภารกิจก็จะยากตามระดับความสามารถ ถ้าหากเราทำภารกิจล้มเหลวบุคคลนี้จะไม่มาร่วมทีมกับเรา นอกจากนี้บางภารกิจหลักจำเป็นต้องให้เราไปหาบุคคลที่ตรงกับคุณสมบัติเสียก่อนภารกิจจึงจะปลดล็อกให้เราเล่น
ผู้เขียนว่าระบบนี้เจ๋งสุด ๆ อ่ะ เมื่อเราได้คนมาเข้าทีมแล้วเราสามารถสลับเล่นรับมือกับสถานการณ์และภารกิจต่าง ๆ ตามความสามารถของตัวละครหรือตามที่ใจต้องการได้เลย อย่าดูถูกหญิงชราเด็ดขาด เพราะมันแนบเนียนและสกิลไม่ใช่เล่นๆ หรือแม้แต่พวกขี้ยาแต่มีทักษะเล่นพนันเก่งก็จะเอาเงินเราไปเล่นพนันให้ได้ด้วย ถือเป็นหัวใจหลักของเกมภาคนี้เลยก็ว่าได้เพราะเราไม่มีพระเอกนั่นเอง พวกเราอาศัยความร่วมมือของกลุ่มต่อต้านเพื่อบรรลุเป้าหมาย
หากเราเปิดใช้งานออพชั่น “Permadeath” เมื่อตัวละครที่เราเล่นถูกจับ ระบบจะให้เราสลับเลือกเล่นตัวละครในทีมคนอื่น ขณะเดียวกันตัวละครที่โดนจับจะถูกปล่อยตัวตามเวลาที่กำหนดประมาณ 20 – 30 นาทีเราจึงจะสลับกลับมาเล่นได้ (หรือหาสมาชิกผู้ที่มีความสามารถในการลดเวลา Cool Down นี้ลงก็ได้) แต่ถ้าหากในทีมเรามีสมาชิกในทีม 3 คน แล้ว 2 ใน 3 คนโดนจับไปแล้ว หากตัวละครตัวสุดท้ายของคุณโดนจับเป็นอันจบเกม แต่ถ้าตัวละครเราตาย ตัวละครดังกล่าวจะถูกถอนออกจากตัวเกมทันทีไม่สามารถเอากลับมาได้ (“Permadeath” ไม่มีผลต่อโหมดออนไลน์)
สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เกี่ยวกับระบบเกมของซีรี่ย์ Watch Dog คือระบบแฮก ในภาคนี้สิ่งที่เพิ่มเข้ามาหลายแบบคือโดรนประเภทใหม่ ๆ มากมายตั้งแต่โดรนตำรวจสามารถยิงต่อสู้ ไปจนถึงโดรนก่อสร้างซึ่งไว้ยกของและเราสามารถขึ้นไปขี่ได้เลย อุปกรณ์เด่นอีกหนึ่งอย่างที่ได้ใช้บ่อยคือหุ่นยนต์แมงมุมบังคับ ผู้เล่นจะสามารถบังคับแบบรีโมทเข้าไปแฮกตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถเข้าได้ หรือบางครั้งมีศัตรูหนาแน่นใช้หุ่นยนต์แมงมุมเข้าไปแบบลอบเร้นโดยไม่ทำให้ศัตรูรู้ตัว Deep Profiler และ AR Scan เป็นอีกหนึ่งระบบที่ถูกใส่เข้ามาให้เราสามารถย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของตัวละครได้ (ตามภารกิจเนื้อเรื่อง)
แต่ก็มีระบบแฮกที่ถูกถอดออกและมีบางอย่างเปลี่ยนไป ในภาคนี้จะไม่สามารถแฮกไฟจราจรได้อีกแล้วไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถอดออกเพราะอะไร อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถแฮกได้ตามท้องถนนก็น้อยลงยากต่อการหนีตำรวจ จุดสังเกตอีกอย่างคือการแฮกไปขับรถไประบบมันจะเล็งโฟกัสจุดที่สามารถแฮกได้ช้ากว่าภาคก่อนเล็กน้อย ระหว่างโดนตำรวจไล่ล่าโดยปกติภาคก่อน ๆ เมื่อเราจะผ่านถนนที่สามารถแฮกตัวล็อกถนนให้ขึ้นมาได้ระบบมันจะโฟกัสให้เรากด L1 ไปยังอุปกรณ์ที่เราสามารถแฮกได้ทันที แต่ในภาคนี้เราระบบเล็งให้นะครับแต่ระบบขึ้นปุ่มให้กดอีกแล้ว เหมือนกับว่าใครเคยเล่นภาคก่อนจะรู้ได้ทันทีว่าต้องกด L1 ซึ่งถ้าเพิ่งเคยมาเล่นเกมภาคนี้เป็นภาคแรกอาจจะไม่ชิน รวมไปถึงการขับรถทพออกมาไม่ดีนัก ส่วนฟีเจอร์ใหม่ “Auto Drive” มีบั๊กตอนเปิด/ปิดใช้งาน
เครื่องแต่งกายในเกมก็มีให้เลือกซื้อเพียบผ่านสกุลเงิน ETO ที่เราได้มาจากการเล่นภารกิจ หนึ่งในเครื่องแต่งกายอันโดดเด่นในเกมคือหน้ากาก ในภาคนี้เราไม่ได้ใช้แค่ผ้าปิดปากกันแล้ว แต่ทุก ๆ ครั้งที่เราเข้าบุกตัวละครจะสวมหน้ากากเข้าไป หน้ากากนี้มีให้เลือกหลายรูปแบบหลายสไตล์ตั้งแต่หน้ากากกัวหมู ไปจนถึงกะโหลกเท่และแนวดี นอกเหนือจากหน้ากากก็มีเครื่องแต่งกายทั่วไปอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า, รองเท้า, เสื้อผ้า เรียกได้ว่าแต่งกันสนุก เครื่องแต่งกายพวกนี้ไม่ได้เพิ่มทักษะในเกมเช่นเคย
นอกจากเครื่องแต่งกายสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “Tech” ที่รวบรวมแก็ดเจ็ต, ทักษะแฮกเกอร์, อาวุธ และโดรนเจ๋ง ๆ ให้เราได้เลือกซื้อ อุปกรณ์หรือทักษะสามารถอัพเกรดได้ ทักษะตรงนี้อาจจะแตกต่างกันไปเล็กน้อยขึ้นอยู่กับตัวละครในทีมของเรา ด้วย การซื้อแก็ดเจ็ตหรืออัพเกรดทักษะจำเป็นต้องใช้ Tech Point ซึ่งได้จากการทำภารกิจเหมือนกัน สิ่งที่ขาดไปในภาคนี้คือเนื่องด้วยคอนเซ็ปต์เล่นเป็นใครก็ได้ทำให้ ตัวเกมไม่มีระบบให้อัพเกรดทักษะตัวละครในรูปแบบสกิลทรี ดังนั้นจะไม่มีตัวละครไหนในทีมเราเก่งเป็นพิเศษ ขึ้นอยู่กับว่าลูกทีมมีทักษะอะไรเจ๋ง ๆ บ้าง มันก็เป็นความแปลกใหม่ดีนะ ทว่าสกิลที่ตัวเกมมีให้อัพเกรดในแต่ละตัวละครมันเมีค่อนข้างน้อย
สำหรับภารกิจในเกมก็ยังคงมุ่งเน้นสไตล์แฮกเข้าไปขโมยข้อมูลเป็นหลักผ่านระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงมากมาย ตั้งแต่การใช้หุ่นยนต์แมงมุมในการเข้าไปยังห้องเซิร์ฟเวอร์ผ่านท่อแอร์ หรือการแก้ปริศนาเปิดประตูต่าง ๆ ซึ่งใครเคยเล่นภาคก่อนก็จะคุ้นเคยไม่ต้องปรับตัวอะไร ความแปลกใหม่ของเกมก็คงจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแฮก อย่างไรก็ตามผู้เขียนมีความรู้สึกว่ากลิ่นอายความคลาสสิกของ Watch Dog เริ่มหายไป ตำรวจในภาคนี้ไม่มีบทบาทเท่าภาคก่อน ๆ เหมือนกับใส่มาเพื่อให้ครบองค์ประกอบ ภารกิจส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้กับองค์กรเสียมากกว่า สิ่งที่ผมยังคิดถึงคือ “Blackout” ในภาคแรกระบบจะตัดไฟในบริเวณโดยรอบให้มืดสนิทเป็นสิ่งที่ควรนำกลับมาเป็นอย่างมาก
หลังทางทีมงานตัดมินิเกมจากภาคแรกออกไปในเกมภาค 2 ซึ่งในภาคล่าสุดนี้ดูเหมือนมันจะไม่กลับมาเป็นรูปเป็นร่างมากเท่าไหร่ มีมินิเกมปาเป้า เล็ก ๆ น้อย ๆ เสริมเข้ามาแต่ไม่เยอะเท่าภาคแรก ส่วนการดื่มเหล้ายังมีอยู่แล้วมีหลายบาร์ให้เลือกเข้าไปดื่มเช่นเคย อีกด้านภารกิจเสริมไม่ได้น่าสนใจเท่าทีควรอาทิการเฟ้นหาสมาชิกเข้ามาร่วมทีม, การรับส่งพัสดุเพื่อแลกกับเงิน หรือการทำภารกิจเพื่อเปิดแผนที่เมือง เป็นต้น ทำให้ผู้เขียนชวนคิดว่าทีมงานไปโฟกัสระบบ “Play as anyone” เล่นเป็นใครก็ได้จนเกินไปหรือเปล่า? จนทำให้สมดุลเกมเพลย์ในหลาย ๆ ด้านขาดหายไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย ส่วนโหมดออนไลน์ยังไม่เปิดบริการครับ (จะเปิดบริการในวันที่ 3 ธันวาคม 2563) ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองมากว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
กราฟิก/ประสิทธิภาพ
Watch Dogs: Legion นำเสนอกราฟิกออกมาได้ไม่แพ้ภาคก่อน ๆ กับกราฟิกตัวเกมที่เล่นสีสันสดใส การเล่นแสง/เงาอย่างสมจริง การจำลองเมืองรวมไปถึงบรรยากาศของกรุงลอนดอนออกมาได้ดีมาก ๆ มีการใส่สถานที่สำคัญจากลอนดอนไว้ด้วยไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟ King Cross, หอนาฬิกาบิ๊กเบน, ชิงช้าสวรรค์ london eye เป็นต้นล้วนทำออกมาได้ไร้ที่ติด สิ่งที่มีตินิดเดียวคือองค์ประกอบเกมไม่หลากหลายเท่าไหร่โดยเฉพาะรถยนต์ตามท้องถนนดูซ้ำ ๆ กัน บางครั้งชนคนกลับไม่ตาย หรือบางครั้งหากรถจอดไม่สนิทกลับลงรถไม่ได้ แต่มันเป็นเพียงข้อสังเกตเล็กน้อยเล่นไปสักพักจะไม่รู้สึกอะไร
นอกจากนี้ระบบอากาศก็เป็นแบบไดนามิคมีทั้งร้อน, ฝน, กลางวัน/กลางคืน และอากาศหมอกควันซึ่งถอดแบบมาจากบรรยากาศแบบกรุงลอนดอนได้อย่างเป๊ะ ๆ ในเกมนี้ยังมีโหมดถ่ายภาพให้เราได้ใช้งานกันด้วย โดยมีตั้งแต่การใช้งานพื้นฐานไปจนถึงใส่ฟิลเตอร์, ปรับโฟกัส หรือปรับค่าแสงเรียกได้ว่าจบในที่เดียว
สำหรับประสิทธิภาพของเกม Watch Dogs: Legion หากเล่นบน PS4 Pro แล้วราบรื่นใช้ได้เลย (แม้จะรู้สึกเฟรมเรตตกเป็นบางช่วง) และไม่มีเสียงพัดลมดังขึ้นมาจนรำคาญ แต่ทางกลับกันผู้เล่นได้ทดลองเล่นบนเครื่อง PS4 (รุ่นอ้วน) พบว่าเฟรมเรตตกลงมาจนภาพกระตุกเป็นบางช่วง เทกเจอร์ต่าง ๆ ในฉากเหมือนโหลดไม่ค่อยทันเมื่อขับรถหรือเคลื่อนตัวเร็ว นอกเหนือจากนี้ดูเหมือนกับทำมาเพื่อรองรับเครื่องเกมรุ่นใหม่เพราะเกมมีหน้าโหลดคั่นระหว่างฉาก หรือเมื่อเข้าตึก/อาคารบางอย่าง ซึ่งปัญหานี้จะหมดไปหากเล่นบน PS5/Xbox Series X/S
Verdict
Watch Dogs: Legion เป็นการกลับมาของซีรี่ย์ในรูปแบบ “Play as anyone” เล่นเป็นใครก็ได้เพื่อสร้างกองกำลังต่อต้านระบบเผด็จการกอบกู้ช่วยลอนดอนซึ่งเปิดมาด้วยเนื้อเรื่องน่าสนใจเลยทีเดียว ทว่าเล่นไปสักพักกลับรู้สึกว่าเนื้อเรื่องดูอ่อนและยังมัดใจผู้เขียนไว้ไม่ได้ แต่เหตุการณ์ในเกมก็สะท้อนให้เห็นถึงสังคมในโลกแห่งความเป็นจริง ขณะเดียวกันเกมเพลย์รูปแบบใหม่กับการเล่นเป็นใครก็ได้พัฒนาออกมาได้เจ๋งมาก ๆ รองรับได้สมาชิกสูงสุดถึง 40 คน แต่ละคนอาจจะมีความสามารถและอาวุธพิเศษเฉพาะตัว เราสามารถใช้ประโยชน์นี้ตามสถานการณ์ได้ ภารกิจต่าง ๆ ยังคงสไตล์แฮกให้กลิ่นอายซีรี่ย์ที่เราคุ้นเคย อย่างไรก็ตามด้วยระบบนี้เองทำให้อะไรหลายอย่างขาดหายไป ทางด้านกราฟิกตัวเกมสามารถนำเสนอกรุงลอนดอนออกมาได้อย่างงดงาม ทางกลับกันประสิทธิภาพของเกมอาจจะไม่สู้ดีนักหากเล่นบน PS4 รุ่นปกติราวกับว่าทำมาเพื่อรองรับเครื่องเกมรุ่นใหม่ แม้ว่าเกมจะมีจุดสังเกตเยอะก็ตามแต่หากใครชื่นชอบซีรี่ย์นี้อยู่แล้วผู้เขียนก็การันตีว่า Watch Dogs: Legion เป็นเกมในซีรี่ย์อีกภาคที่ควรหามาเล่น
7.5/10
จุดเด่น (Pro)
- เนื้อเรื่องให้ข้อคิดที่ดีและสะท้อนถึงสังคมในปัจจุบัน
- กราฟิกนำเสนอกรุงลอนดอนออกมาได้อย่างสวยงาม
- ระบบ Play as anyone” เล่นเป็นใครก็ได้เจ๋งมาก
- สไตล์เกมเพลย์ยังคงความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
จุดสังเกต (Con)
- เปิดเนื้อเรื่องมาดี แต่ไม่ดึงดูดให้ติดตามต่อสักเท่าไหร่
- ถอดระบบแฮกไฟจราจร และระบบขับขี่ทำออกไม่ค่อยดี
- ภารกิจต่าง ๆ ดูซ้ำซากจำเจ รวมถึงภารกิจเสริมที่ไม่ชักจูงให้เล่น
- ประสิทธิภาพบน PS4 รุ่นปกติดรอป เฟรมเรตตก ภาพกระตุก
รีวิวและเขียนบทความโดย Play4Thai
ขอบคุณบริษัท Ubisoft Asia
สำหรับเกมที่ให้เรามารีวีวครับ