เกมส์ : Demon’s Souls
แพลตฟอร์ม : เอ็กซ์คลูซีฟ PlayStation 5
ราคา: 2,290 บาท
วันวางจำหน่าย: 12 พฤศจิกายน 2020
ในปี 2009 ทาง FromSoftware ได้เปิดตัวเกม Demon’s Souls เกมสไตล์แอ็คชั่นอาร์พีจีเพื่อมาท้าประลองฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ภายใต้โลกอันมืดมนและความท้าทายที่ผู้เล่นไม่อาจคาดเดาได้ ด้วยความยากและความท้าทายของเกมนี่เองกลายเป็นจุดเด่นทำให้เป็นเกมโปรดในใจใครหลาย ๆ คน วันนี้ทางค่ายพัฒนา Bluepoint Game ได้ปลุกตำนานคืนชีพเกม Demon’s Soul ของ FromSoftware อีกครั้ง กับการรีเมคออกแบบใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นโดยการอ้างอิงจากเกมต้นฉบับบน PS3 เมื่อปี 2009 แต่เกมมาพร้อมกราฟิกอันสวยงาม, ประสิทธิภาพระดับเน็กซ์เจน และที่สำคัญเกมรองรับภาษาไทยอีกด้วย แล้วมันจะโหดยากท้าทายเท่าเกมต้นฉบับหรือไม่? เรียนเชิญอ่านรีวิว Demon’s Souls (PS5) – ตำนานความโหดฉบับเน็กซ์เจน
เนื้อเรื่อง
เรารู้กันดีว่าเกมประเภมนี้เนื้อเรื่องมักไม่ค่อยชวนน่าติดตาม แต่มันตรงกันข้ามกับ Demon’s Souls ที่เรื่องราวมันน่าสนใจไม่ใช่น้อย โดยมันเป็นเกิดขึ้นในอณาจักร Boletaria ในสมัยโบราณเนื่องจากมีการใช้เวทมนตร์ที่เรียกว่า Soul Arts ในทางที่ผิด Boletaria จึงถูกโจมตีโดยสิ่งที่เรียกว่า Old One โลกเกือบทั้งใบถูกปกคลุมด้วย “Deep Fog” หมอกหนาถูกสาปมนตร์ขลังเอาไว้ ปีศาจผู้ล่าวิญญาณถือกำเนิดขึ้น ท้ายสุด Old one ถูกมนตร์สะกดให้หลับไปชั่วนิรันดร์ ในขณะที่ผู้รอดชีวิตบางคนกลายเป็นอนุสาวรีย์ที่มีอายุยืนยาวเพื่อเตือนคนรุ่นหลังถึงความโหดร้ายของพวกมัน
จนเวลาดำเนินมาถึงปัจจุบันของเกม King Allant ผู้ปกครองของ Boletaria ได้ฟื้นฟูศิลปะการใช้เวทมมนตร์ Soul Arts ขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เป็นการปลุกให้ Old One และกองทัพปีศาจตื่นขึ้นจนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง ตอนนี้ Boletaria ถูกปีศาจกลืนกินโดยที่มนุษย์ที่ไม่มีวิญญาณเหล่านั้นกลายเป็นสัตว์ประหลาดบ้าคลั่ง ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นนักผจญภัยที่เข้าไปในหมอกที่ปกคลุมทั่วอาณาจักร Boletaria เพื่อปกป้องอาณาจักรและกำจัดเหล่าปีศาจให้จงได้
เรื่องราวในฉากแรกปูมาดีจนทำให้ผู้เล่นตื่นเต้นก่อนไปลุยกับเกมเพลย์มหาโหดของเกม สำหรับตัวเกมรีเมคของ PS5 ทาง Bluepoint ยังคงต้นฉบับเนื้อเรื่องของเกมไว้เหมือนเดิม และไม่มีการขยายเนื้อหาของเกมแม้แต่น้อย ส่วนงานแปลไทยก็ถูกแปลออกมาได้ดีเทียบเท่ากับเกมเอ็กซ์คลูซีฟเกมอื่น ๆ เลยก็ว่าได้ แม้จะมีบางจุดอาจใช้คำแปลกบ้าง แต่มันเป็นรื่องดีที่ทำให้ใครหลายคนหันมาเข้าใจเนื้อเรื่องของ Demon’s Souls มากยิ่งขึ้น
เกมเพลย์
จุดเด่นของ Demon’s Souls จนกลายเป็นตำนานทำเอาเกมเมอร์เล่าขานกันต่อกันมาเรื่อย ๆ คือความยากของเกมเพลย์ ซึ่งในภาครีเมคนี้ทาง Bluepoint ก็ยังมุ่งเน้นตามรอยต้นฉบับเดิมเลยคือไม่สามารถปรับระดับความยากได้ อย่างที่ผู้เขียนกล่าวไปเกมเป็นแนวแอ็คชั่นอาร์พีจีมีการตะลุยสู้ฟันศัตรู พร้มเก็บของเพื่อมาอัปเกรดตัวละครให้แข็งแกร่งขึ้น ความยากของ Demon’s Souls สามารถรู้สึกได้นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวขาเข้าอาณาจักร Boletaria ที่มีระบบสอนการต่อสู้ บอกเลยว่าแค่ลูกกระจ๊อกมารุมเรา 2-3 คนในช่วงต้นเกมก็ทำให้เราตายได้ เราจะต้องคอยระมัดระวังการโจมตีของศัตรูและรอจังหวะเหมาะสมจบชีวิตศัตรูให้เร็วที่สุด ความแตกต่างระหว่าง Demon’s Souls ภาคต้นฉบับกับรีเมคบน PS5 คือเริ่มด้วยการสร้างตัวละครที่ในภาครีมาสเตอร์มีให้ตัวเลือกให้ปรับแต่งเยอะมากมาย บอกเลยว่าผู้เขียนเสียเวลาแต่งตัวละครไปเกือบครึ่งชั่วโมงได้ สำหรับระบบการต่อสู้ผู้พัฒนาคงความเป็นต้นฉบับเอาไว้แต่มีการปรับปรุงท่าทางตัวละครให้ดูทันสมัยมากขึ้น
แม้เกมมันจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปีแต่เกมเพลย์มันล้ำยุคเอามาก ๆ โดยเพราะจุดเด่นตรงที่ตัวเกมไม่ได้มีระบบ Checkpoint แบบเกมทั่ว ๆ ไปแต่มันมาในรูปแบบ Archstones คล้ายระบบ Bonfire ใน Dark Souls แต่มันโหดกว่าเยอะเพราะจุด Archstones ในเกมมันน้อยมาก ๆ มักจะอยู่หลังปราบบอสสำเร็จเท่านั้น ความรู้สึกคือมันไม่เหมือนกับ Bonfire ของ Dark Souls เลยมันยากกว่าเยอะ!! ด้วยการที่เราต้องเผชิญบอสถึง 22 ตัวบอกเลยว่าแถบจะเขวี้ยงจอยทิ้ง
แล้วทุกครั้งที่ตายเราจะกลายเป็นวิญญาณไปปรากฏตัวในวิหาร The Nexus สถานที่รวมวิญญาณผู้กล้า สถานที่นี้ยังมีไว้เพื่ออัปเกรดตัวละคร ซื้ออาวุธและไอเท็มจำเป็น รวมถึงการเรียนรู้ทักษะเวทมนตร์ด้วย ทว่าการตายของเรานี้จะทำให้ค่าพลังเราหายไป ถ้าต้องการมันคืนมาเราจะต้องกลับไปเล่นและเก็บค่าพลังคืนจากจุดที่เราตายนั่นเอง
จุดเด่นอีกอย่างของ Demon’s Souls คือระบบ World Tendency ระบบโลกคู่ขนานแบ่งเป็น Pure White และ Pure Black ตัวเกม Demon’s Souls จะมีพื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 5 โลกได้แก่ Boletarian Palace, Stonefang Tunnel, Tower of Latria, Shrine of Storms และ Valley of Defilement ในแต่ละโลกจะมีเรื่องราว บรรยากาศ ศัตรูลักษณะต่างกันออกไป ในแต่ละโลกก็จะมีพื้นที่ล็อกไว้อยู่ การจะปลดล็อคได้มันอยู่ที่เงื่อนไข ซึ่งเงื่อนไขอาจจะให้เราต้องเปลี่ยนโลกให้เป็น Pure White ทั้งหมดเสียก่อน โลกจะกลายเป็น Pure White หรือ Pure Black ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการเล่น หากช่วยเหลือผู้เล่นคนอื่น ๆ โลกก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น Pure White เป็นต้น ผู้เขียนว่าระบบมันมาก่อนเวลามากเพราะทุกวันนี้ถึงจะกลับไปเล่นบน PS5 มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าระบบเกมเพลย์มันเชย
ส่วนจุดเปลี่ยนทางด้านเกมเพลย์ที่ส่งผลต่อเทคนิคการเล่นในเกมคือระบบถือของ โดยเฉพาะเจ้า Moon Grass ใช้งานในการฮีลเลือดของเรา ในเกมต้นฉบับเราสามารถจะถือ Moon Grass กี่ต้นก็ได้ไม่มีขีดจำกัด ทำให้ทาง Bluepoint เล็งเห็นแล้ว่ามันไม่แฟร์ พวกเขาเลยเปลี่ยนระบบนี้ให้ Moon Grass แต่ละต้นมีน้ำหนัก เมื่อถือเยอะ ๆ จะทำให้เราหนักและเคลื่อนไหวได้ช้า นี่ก็เป็นหนึ่งปัจจัยหลักทำให้เกมรู้สึกยากขึ้นทันทีโดยเฉพาะในช่วงแรกของเกม ผู้เขียนไม่อาจสะสมและถือ Moon Grass เป็นร้อย ๆ ต้นได้อีกแล้ว
อีกหนึ่งโหมดที่เพิ่มเข้ามาใน Demon’s Souls รีเมคเอาใจแฟนเกมที่เคยสัมผัสภาคต้นฉบับมาก่อน กับโหมดที่เรียกว่า “Fractured Mode” มันไม่ได้เพิ่มระดับความยากของเกมให้ยากมากขึ้น แต่มันเพิ่มความท้าทายทำให้ตัวเกมรู้สึกยากขึ้นมากกว่า ในโหมดนี้ตัวเกมจะทำการสลับด้านเปรียบเสมือนกระจก ด้านซ้ายไปขวา บอกก่อนเลยว่าโหมดนี้ไม่เหมาะกับมือใหม่ แต่เหมาะกับคนที่เคยผ่านการเคลียร์เกมมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพราะมันยากโคตร
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการนำลูกเล่น Haptic Feedback ของจอย DualSense ใส่เข้ามาในตัวเกม โดยทุกครั้งที่เรา parry ฟัน ป้องกัน หรือม้วนหลบตัว เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นอ่อน ๆ ของจอย แต่เมื่อถูกศัตรูโจมตีเราก็จะรู้สึกถึงการสั่นแรงขึ้นเล็กน้อย แม้แต่การฟันลังกล่องไม้ต่าง ๆ ความหนักเบาของระบบ Haptic Feedack ผสมผสานกับลำโพงตัวเล็กของจอยช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการเล่นได้มากทีเดียว
โดยรวมแล้วระบบเกมเพลย์ยังคงต้นฉบับเมื่อ 12 ปีก่อนทุกอย่าง มีเพียงปรับสมดุลเกมเล็กน้อยและมีการเพิ่มโหมด Fractured Mode มาเอาใจผู้เล่นหน้าเก่า ก็ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมมันยากจริง ๆ ทำเอาผู้เขียนหัวร้อนมากซึ่งนี่แหละมันคือเสน่ห์ของเกมนี้ ถ้าใครชอบความท้าทายอะไรแบบนี้แล้วผู้เขียนแนะนำเลย แต่ถ้าใครไม่ชอบความหัวร้อนก็ปล่อยผ่านเกมนี้ไปได้เลย
กราฟิก
Demon’s Souls รีเมคเป็นเกมเอ็กซ์คลูซีฟของ PlayStation 5 ดังนั้นผู้พัฒนาอย่าง Bluepoint ได้ออกแบบเกมเพื่อดึงศักยภาพของ PS5 ออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ ผลคือโลกที่ดูน่ากลัวแล้วในภาครีเมคบรรยากาศออกมาน่ากลัวกว่าเดิม รายละเอียดที่ทางทีมงานได้ใช้เวลาสร้างสรรค์ลงไปมันสุดยอดมาก ทั้งฉาก, วัตถุประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ มันออกมาสมบูรณ์แบบ บอสและศัตรูมีการ “Re-Work” ออกแบบมาใหม่โดยอ้างอิงจากเกมต้นฉบับจนออกมาราวกับว่ามันคือสิ่งที่ FromSoftware อยากนำเสนอในปี 2009 แต่ด้วยเทคโนโลยีขณะนั้นยังทำไม่ได้ แม้ว่าเกมนี้จะไม่ได้ใส่ Ray-Tracing เข้ามาแต่ทางผู้พัฒนาได้ใส่การสะท้อนของวัตถุเข้ามาในเกมเล็กน้อย
อีกด้านผู้พัฒนายังได้ใส่ Photo Mode เข้ามาในเกมด้วย เอาง่าย ๆ เลยว่าเกมสมัยนี้ไม่มีไม่ได้ ซึ่งโหมดถ่ายภาพของเกม Demon’s Souls ไม่ได้มีอะไรหวือหวาต่างอะไรจากเกมอื่น มันมาพร้อมการปรับแต่งพื้นฐานเช่นปรับแสง ปรับฟิลเตอร์ ปรับมุมกล้อง เป็นต้น เหมาะสำหรับใครที่ชอบถ่ายภาพในเกมเป็นที่สุด
นอกจากงานกราฟิกอันสวยงามแล้ว ทางผู้พัฒนาได้นำระบบเทคโนโลยีเสียง 3D Audio ของ PS5 มาใช้ด้วย ต้องบอกก่อนว่าเสียง 3D Audio ปัจจุบันรองรับการใช้งานบนหูฟัง Pulse 3D ของ PlayStation เท่านั้น แต่ผู้เขียนบอกได้เลยว่าเมื่อเล่นแล้วฟังสามารถได้ยินถึงความแตกต่างของเสียง ยกตัวอย่างเช่นศัตรูพยายามฟันเราจากด้านหลัง เราจะรู้สึกถึงเสียงฟันที่มาจากด้านหลัง ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเองจะไม่ทราบเลย แต่มันน่าทึ่งรวมถึงรู้สึกสมจริงไปพร้อม ๆ กัน
สำหรับประสิทธิภาพเกมมีให้เลือก 2 โหมดระหว่าง ความละเอียด (Resolution) และ ประสิทธิภาพ (Performance) หากเลือกโหมดความละเอียด 4K อัตราเฟรมเรต 30 FPS หรือหากเลือกประสิทธิภาพเกมจะรันบนความละเอียด 1440p (Upscale 4K) บนอัตราเฟรมเรต 60 FPS นอกจากนี้ด้วยศักยภาพของ PS5 ทำให้ผู้พัฒนาสามารถตัดหน้าโหลดออกไปได้ เมื่อคุณตายเพียงเสี้ยววินาทีเกมจะส่งคุณไปยังวิหาร The Nexus ทันทีแบบไม่ต้องรอให้เสียเวลา นี่แหละมันทำให้เราไม่สามารถกลับไปรอโหลดเกมอีกแล้ว เรียกได้ว่าด้านประสิทธิภาพคือไร้ที่ติ!!
Verdict
Bluepoint Game สามารถตอกย้ำความสำเร็จของเกม Demon’s Souls ที่สั่งสมมา 12 ปีได้เป็นอย่างดี โดยการปลุกคืนชีพเกมตำนานให้ฟื้นคืนชีพในฉบับเน็กซ์เจนมาพร้อมกราฟิกอลังการทำให้รู้สึกสมจริงมากขึ้น มาพร้อมการรองรับระบบเสียง 3D Audio และดึงพลังเครื่อง PS5 ออกมาใช้ได้อย่างชาญฉลาด ถึงกระนั้นแล้วทางผู้พัฒนาได้ให้ความสำคัญกับเกมเพลย์ที่ยังคงความเป็นต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน เพียงแต่มีการปรับสมดุลเกมเพลย์ให้ออกมาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก มาพร้อมโหมด Fractured Mode เพื่อเอาใจแฟนเกมตระกูล Souls สุดท้ายนี้หากใครเป็นแฟนเกมตะกูลนี้บอกเลยห้ามพลาด หรือใครที่ยังไม่เคยสัมผัสและชอบความท้าทาย Demon’s Souls เป็นอีกหนึ่งเกมที่รอให้คุณมาท้าพิสูจน์ความสามารถของคุณอยู่!!
9.0/10
จุดเด่น (Pro)
- เกมเพลย์สุดยากดั่งต้นฉบับเป๊ะ ๆ
- กราฟิก และการนำคุณสมบัติใหม่ของ PS5 ดึงออกมาใช้ได้เป็นอย่างดี
- โหมด Fractured Mode ยากสะใจสำหรับแฟนเกมตระกูล Souls
- เกมแปลไทยออกมาได้ดี
จุดสังเกต (Con)
- ด้วยความยากของเกม ทำให้มันไม่เหมาะสำหรับทุกคน
- ไม่มีเนื้อหาใหม่ ๆ เพิ่มเข้าม
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณ โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงค์โปร
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ