เกมส์ : Ratchet & Clank: Rift Apart
แพลตฟอร์ม : เอ็กซ์คลูซีฟ PlayStation 5
ราคา: 2,290 บาท
วันวางจำหน่าย: 11 มิถุนายน 2021
Ratchet & Clank ถือเป็นหนึ่งในแฟรนไชล์เพลย์สเตชั่นสุดคลาสสิคซึ่งมีอายุกว่า 19 ปี ตั้งแต่สมัย PlayStation 2 ไล่ยาวมาต่อเนื่องถึงเครื่องคอนโซลยุคปัจจุบัน แฟรนไชส์นี้พัฒนาโดย Insomniac Game ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงปัจจุบันที่ค่ายพัฒนาเกมถูกโซนี่ซื้อไปอยู่ในเครือ PlayStation Studio เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการมาถึงของเครื่อง PlayStation 5 ทางค่ายได้เปิดตัวเกม Ratchet & Clank: Rift Apart เกมภาคใหม่ล่าสุดของซีรี่ย์กับการผจญภัยข้ามเวลามิติอันยุ่งเหยิงเพื่อปราบ Dr. Neferious เจ้าวายร้ายจอมป่วน ในครั้งนี้ Ratchet และ Clank ยังได้พบกับเพื่อนใหม่ซึ่งจะมาร่วมต่อสู้ให้จักรวาลกลับมาสงบสุข เกมจะสามารถดึงประสิทธิภาพเครื่อง PS5 ออกมาได้แค่ไหน แล้วมันจะสนุกมากน้อยเพียงใดเรียนเชิญอ่านรีวิวเกม Ratchet & Clank: Rift Apart – ผจญภัยปราบวายร้ายข้ามมิติ
**บทความรีวิวนี้เป็นบทความไม่มีการสปอย์เนื้อเรื่อง และตัวระบบเกมส์บางส่วน เพื่อให้แฟนๆ ได้รับประสบการณ์สูงสุดในการเล่น และตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสเกมนี้ครับ
เนื้อเรื่อง
เหตุการณ์ใน Ratchet & Clank: Rift Apart เริ่มขึ้นเมื่อระหว่างงานเฉลิมฉลองขบวนพาเหรดใหญ่ Captain Qwark มหาเศรษฐีได้ประกาศให้ Ratchet และ Clank เป็นหัวหน้าใหญ่ในการนำขบวนพาเหรดนี้ ระหว่างที่ Captain Qwark ได้เล่าถึงการผจญภัยของ Ratchet และ Clank นั่นเอง Dr. Neferious คู่ปรับอันยาวนานของ Ratchet และ Clank เป้าหมายเพียงอย่างเดียวของมันคือยึดครองจักรวาล Dr. Neferious ได้บุกเข้ามากลางขบวนพาเหรดจนท้ายที่สุดเจ้า Dr. Neferious สามารถขโมยเครื่อง Dimensionator หรือเครื่องข้ามมิติที่ปรากฏครั้งแรกใน Ratchet & Clank ภาค Future: Tools of Destruction ปี 2007
ต่อมาทั้ง Ratchet และ Clank ได้ต่อสู้กันและด้วยเหตุการณ์บางอย่างทำให้ Dimensionator ระเบิดพลังออกมาทำให้เกิดรอยแยกระหว่างมิติอันยุ่งเหยิงที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เกิดขึ้นทั่วจักรวาล และเหตุการณ์ไม่สงบตามมามากมาย Ratchet และ Clank จำเป็นจะต้องหยุดยั้งจักรพรรดิหุ่นยนต์นี้ให้จงได้ ระหว่างการผจญภัยในี้เอง Ratchet และ Clank ได้พบกับ Rivet ตัวละครใหม่พร้อมหุ่นยนต์คู่ใจใหม่มาช่วยกู้จักรวาลและกู้มิติให้กลับมาเป็นปกติด้วย
เนื้อเรื่องในภาคนี้น่าสนใจกว่าภาคผ่าน ๆ มาตรงที่เรื่องราวได้แตกขยายออกมากว้างขึ้นไม่ได้โฟกัสที่เรื่องราวระหว่าง Ratchet และ Clank อีกต่อไป แต่ได้มีการเล่าถึงตัวละครใหม่อย่าง Rivet และหุ่นยนต์คู่ใจใหม่ที่อาศัยอยู่คนละมิติ เนื้อเรื่องค่อย ๆ ดำเนินไป เราได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่ค่อย ๆ คืบหน้า ขณะเดียวกันผู้เล่นอย่างเราจะได้ผจญภัยข้ามมิติไปยังกาลเวลาในช่วงต่าง ๆ ตั้งแต่เมืองยุคดึกดำบรรพ์ ไปจนถึงโลกอนาคต ความสนุกคือการสัมผัสบรรยากาศแตกต่างกันออกไป
ผู้เขียนเชื่อว่าผู้พัฒนาตั้งใจนำเสนอเรื่องราวข้ามมิติแบบนี้เพื่อโชว์ศักยภาพเครื่อง PS5 ว่ามันสุดยอดแค่ไหน ระหว่างฉากซินิเมติกและเกมเพลย์ หรือระหว่างมิติโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่งคือไร้รอยต่อ ไร้หน้าโหลดคั่นกลางซึ่งมันสำคัญมาก ทำให้อารมณ์และการเล่าเรื่องได้อย่างต่อเนื่องราวกับดูภาพยนตร์ที่เราสามารถบังคับได้ แม้เกมนี้จะไม่ได้รองรับภาษาไทยแต่ภาษาที่ใช้ในเกมค่อนข้างเข้าใจได้ง่ายเลยทีเดียว
เกมเพลย์
เกมเพลย์ของ Ratchet & Clank: Rift Apart ยังคงรูปแบบฉบับดั้งเดิมตามสไตล์แฟรนไชส์นี้ เกมเป็นแนวแอ็คชั่นผจญภัยในมุมมองกล้องบุคคลที่ 3 เกมเพลย์แบบตะลุยเป็นเส้นตรงตามเนื้อเรื่อง ทว่าอย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเกมเพลย์ในภาคนี้ไม่ได้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเลย แต่เกมเพลย์ของภาคนี้เองทำให้มันดูน่าทึ่งมาก ๆ กับสิ่งที่ PS5 ทำได้ ก่อนเราจะไปถึงตรงนั้นสิ่งที่ตัวเกมปรับปรุงและเห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือการควบคุมและเล่นในฉากซินิเมติก โดยทาง Insomniac น่าจะได้ความรู้ตอนพัฒนาเกม Marvel’s Spider-Man ใส่เข้ามา มันทำให้เกมเพลย์ในฉากแบบนี้ลุ้นสุด ๆ แล้วความที่เกมออกแบบมาให้ข้ามมิติ PS5 สามารถโหลดตัวเกมในฉากถัดไปราวกับดีดนิ้ว จากฉากเมือง Neferious ทะลุมิติไปยังอีกโลกในทันที การเชื่อมฉากต่อฉากแบบไม่มีรอยต่อแบบนี้เองถ้าไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยี SSD บน PS5 คงทำไม่ได้
แล้วในภาคนี้เราก็จะได้เดินทางไปยังดาวต่าง ๆ ซึ่งอีกครั้งไม่มีหน้าโหลดคั่นกลาง ซึ่งเราสามารถกลับไปเก็บของในเลเวลหรือดาวดวงก่อน ๆ ได้ด้วย เกมจะกึ่ง ๆ สไตล์ Open-World มีพื้นที่ให้เราเองได้สำรวจมากมายเรียกว่ากว้างมากเหมือนกัน ด้วยความที่มิติมันยุ่งเหยิงจึงทำให้เกิดมิติคู่ขนานและเราก็จะได้พบกับตัวละครใหม่อย่าง Rivet เธอมีความคล่องตัวไม่แพ้ Ratchet เราเองได้บังคับทั้งคู่ ส่วนนี้เองตัวเกมได้ปรับให้สมดุล เพื่อให้แน่ใจว่าเราไ่ด้สัมผัสตัวละครทั้งสองเท่า ๆ กัน
ส่วนเกมเพลย์ที่ถูกปรับปรุงอย่างลงตัวคือระบบอาวุธในเกมภาคนี้ ซึ่งมีอาวุธในคลังแสงให้เลือกมากกว่าภาคก่อน ๆ และมันยังแปลกตาแถมสร้างสรรค์อีกด้วย อย่างเช่น Topiary Sprinkler ระเบิดมือเมื่อปาไปแล้ว มันจะสร้างอาณาเขตขึ้น มีสปริงเกลอร์โผล่ขึ้นมา แล้วเมื่อศัตรูเข้ามาในอาณาเขตมันจะเสกศัครูให้กลายเป็นพุ่มไม้ หรือจะเป็น he Negatron Collider ปืนชาร์จพลังงานเพื่อปล่อยยิงออกไปทั่วพื้นที่ ซึ่งระบบอาวุธนี่แหละทำให้เรารู้สึกไม่เบื่อกับเกม และสามารถออกแบบการต่อสู้ในสไตล์เราได้หลายแบบ แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องเก็บชิ้นส่วนน็อตเพื่อใช้มาซื้ออาวุธเหมือนภาคก่อน ๆ รวมไปถึงการเก็บแร่คริสตัลเพื่อใช้ในการอัปเกรดอาวุธทีมีมากมายแบบนี้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธและปืนส่วนใหญ่ในเกมในมีการใช้คุณสมบัติพิเศษของ DualSense ด้วยนะ อย่างเช่นอาวุธหลักที่ได้ตั้งแต่เริ่มเกมอย่าง Burst Pistol ใช้คุณสมบัติ adaptive triggers เพิ่มทางเลือกในการยิงอย่างเช่นหากกด R2 ครึ่งเดียวจะเป็นการยิงออกปนัดเดียว หรือแม้แต่หากเป็นปืนกลจะรู้สึกถึง trigger ที่ต้านเราราวกับยิงปืนจริง รวมไปถึงระบบสั่น Haptic feedback ที่จะรู้สึกทุกครั้งเมื่อถูกยิง หรือตัวละครเดินไปในพื้นที่ในลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ซึ่งจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมได้มากกว่าที่ผู้เขียนคิด
นอกจากนี้ Insomniac ทำการปรับปรุงเกมเพลย์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ระหว่างการต่อสู้บางครั้งเรายังสามารถวาร์ปไปตามรอยแยกของมิติอีกฝั่งเพื่อหลบศัตรู หรือจะเป็นการไต่กำแพงในทางที่กำหนดได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ผู้เขียนชอบคือการจัดลำดับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบไม่ปล่อยให้ผู้เล่นเบื่อ ระหว่างทางเราจะได้เจออุปสรรคอันไม่คาดฝันอย่างเช่น การหนีศัตรูในสไตล์สไลด์ไปตามรางราวกับรถไฟเหาะ เผชิญกับการแก้ไขปริศนาเพื่อปิดรอยมิติ หรือ แม้แต่มินิเกมกำจัดไวรัสเพื่อเปิดประตู นี่ยังไม่รวมบอสและศัตรูต่าง ๆ ในเกมอีกเพียบ องค์ประกอบพวกนี้เองทำให้ตัวผู้เขียนเองนั่งติดงอมแงมหลายชั่วโมง
นอกจากอุปสรรคต่าง ๆ ที่เราจะได้สัมผัสระหว่างการเดินทางแล้วยังมีภารกิจเสริม และ Challenge ภายในเกมเพื่อให้เราฟาร์มเอาชิ้นส่วนน็อตมาซื้ออาวุธ รวมไปถึงการตามหาสะสมเครื่องแต่งกายตัวละครให้ครบเพื่อมาช่วยเพิ่มค่า XP ด้วย น่าเสียดายที่ภารกิจเสริมและ Challenge ไม่ได้มีให้เล่นเยอะ แต่มีไว้หอมปากหอมคอเท่านั้น แต่ผู้เขียนก็เข้าใจเพราะมันไม่ใช่เกม Open-World ซะหน่อยแค่คิดว่าหากมีเสริมเพิ่มมากกว่านี้อาจจะทำให้เกมดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
โดยรวมแล้วเกมเพลย์ Ratchet & Clank: Rift Apart ออกแบบและสมดุลทุก ๆ องค์ประกอบได้อย่างลงตัวมากทุกอย่างพอดีไม่ขาดและไม่มากจนเกินไป เกมนี้ยังปรับระดับความยากได้ซึ่งเกมมันผจญภัยไปเรื่อย ๆ ซึ่งเกมเพลย์โดยรวมทั้งหมดราว 15-16 ชั่วโมง ผู้เขียนว่ามันไม่ได้ยากและหัวร้อน มันเป็นเกมผ่อนคลายที่สามารถเพลิดเพลินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยครับ เสียดายที่เกมไม่ได้ออกแบบมาให้เล่นในรูปแบบ Co-Op ได้มิเช่นนั้นผู้เขียนว่าจะเหมาะกับเล่นในครอบครัวเลย
กราฟิกและประสิทธิภาพ
การนำเสนอภาพกราฟิกของ Ratchet & Clank: Rift Apart มันแสดงให้เห็นขุมพลังเครื่อง PS5 อย่างแท้จริง ภาพได้ทีมพัฒนาได้รังสรรค์ขึ้นมา มันสวยงามมากสีสันสดใส ไม่ว่าจะฉากซินิเมติกหรือฉากเกมเพลย์มันคือภาพเนื้อเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยี Ray-Tracing ในเกมทำให้ภาพมีแสงสะท้อนในวัตถุต่าง ๆ เช่นตัว Clank เองที่เป็นสีเงินสะท้อนกับวัตถุองค์ประกอบในฉากได้สมจริง หรือแสงในฉากที่กระทบบนพื้นมันทำให้เห็นพัฒนาการกราฟิกในเกมสู่มาตรฐานใหม่ พาร์ติเคิลไม่ว่าจะจากปืนหรือจากฝุ่น มันกลมกลืนกลายเป็นฉากนำเสนอออกมาได้สวยงาม
ทางด้านฟิสิกส์ในเกมก็สามารถทำได้ดีสร้างความแตกต่างในแต่ละสภาวะของดาวต่าง ๆ ทั้งบนพื้น อวกาศ และใต้น้ำ นอกจากนี้การใส่ใจรายละเอียดของทีมพัฒนาไปยังตัวละครและศัตรูต่าง ๆ อย่างเห็นได้กับตาเช่น ขนอันพลิ้วไหวของ Ratchet และ Rivet หรือแม้แต่ศัตรูหุ่นยนต์ที่เวลาโดนยิงจะค่อย ๆ แตกเป็นละเอียด ๆ ตามความเสียหายที่ได้รับ มันทวีคูณให้องค์ประกอบทั้งหมดสมจริงมากขึ้น ในเกมอื่น ๆ หากดูเผิน ๆ เหมือนกราฟิกระหว่าง PS4 และ PS5 ไม่ได้ว้าว แต่เมื่อนักพัฒนาได้ใส่รายละเอียดลงไปในเกมจริง ๆ ผลที่ได้คือมันแตกต่างเห็นได้อย่างชัดเจนในเกมเอ็กซ์คลูซีฟแบบนี้
แน่นอนแหละเกมภาพสวยแบบนี้จะขาดโหมดถ่ายรูปไปได้อย่างไร ทีมงานได้นำเสนอโหมดภายรูปในเกม Ratchet & Clank: Rift Apart ได้อย่างละเอียดมาก มีฟิลเตอร์ให้เลือกปรับมากมายตั้งแต่โฟกัสไปจนถึงปรับโทนสีและค่าสว่างของภาพ เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายภาพเป็นอย่างมาก แล้วด้วยความที่เกมผจญภัยไปหลายมิติและหลายดาว ดังนั้นจึงมีลักษณะภูมิประเทศให้ถ่ายมากมาย
มาดูด้านประสิทธิภาพกันบ้างดีกว่า ด้วยพลังของ PS5 ทำให้เกมรันได้ลื่นไม่มีที่ติ เครื่องไม่ร้อน ไม่ได้ยินเสียงพัดลมและไม่มีหน้าโหลดคั่นหน้าใด ๆ หากตายก็เกิดใหม่ทันที ซึ่งบอกได้เลยว่าเราอาจจะกลับไปเล่นเกมเก่า ๆ ไม่ได้อีกต่อไป Ratchet & Clank: Rift Apart มีโหมดการเล่น 3 โหมดด้วยกันเหมือน Marvel’Spider-Man: Miles Morales ก็เพราะมันมาจากผู้พัฒนาเดียวกันแหละ โหมดเหล่านี้ได้แก่ Fidelity Mode (ค่าเริ่มต้น) ในโหมดนี่จะแสดงผลภาพความละเอียด Native 4K บนอัตราเฟรมเรต 30 FPS ถัดมาโหมด Performance จะมีการลดความละเอียดลงและไปเพิ่มอัตราเฟรมเรตขึ้นเป็น 60 FPS และท้ายสุดโหมด Performance RT ในโหมดนี่จะแสดงผลภาพความละเอียด Native 4K บนอัตราเฟรมเรต 60 FPS แต่จะปิดการใช้งาน Ray Tracing ในเกมลงไป
ทางด้านเสียงประกอบนั้นหากใครมี 3D Pluse Wireless headset แล้วอย่าลืมนำมาใช้งานระบบ Tempest 3D AudioTech ของเกมนี้ด้วยซึ่งจะได้ยินเสียงลูกกระสุนจากศัตรูด้านหลัง ได้ยินเสียงเอฟเฟคต่าง ๆ รอบตัว มันให้ความรู้สึกต่างจากเสียงที่เราเล่นผ่าน Home Theater หรือผ่านทีวีปกติครับ
Verdict
Ratchet & Clank: Rift Apart กับการผจญภัยข้ามมิติไปกับ Ratchet และ Clank เพื่อปราบ Dr. Neferious ให้จงได้ ระหว่างทางพวกเขายังได้พบกับตัวละครใหม่ Rivet ซึ่งจะมาเพิ่มเรื่องราวให้มีความซับซ้อนและชวนน่าติดตามมากขึ้น ขณะเดียวกันยังพบกับเพื่อนเก่า ๆ จากภาคก่อนด้วย จากเรื่องราวอันน่าติดตามเสริมด้วยเกมเพลย์สุดมันส์ในการตะลุยข้ามมิติต่าง ๆ แบบไร้รอยต่อ มาพร้อมกับอาวุธให้เลือกสรรค์มากมายผสมผสานเข้าด้วยกันกับเกมเพลย์ที่ลุ้นอยู่ตลอดเวลาและสนุกได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งหมดนี้แสดงผลออกมาในภาพกราฟิกอันสวยงามด้วยขุมพลัง PS5 และเทคโนโลยี Ray-Tracing บอกเลยว่าใครเป็นเจ้าของ PS5 แล้วเกมนี้ไม่ควรพลาด สุดท้ายนี้ผู้เขียนจะบอกว่าถ้าไม่มี PS5 เกมนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
10.0/10
จุดเด่น (Pro)
- การนำเสนอเรื่องราวแตกต่างออกไปจากเดิมด้วยตัวละครใหม่อย่าง Rivet
- กราฟิกตระการตาสีสันสดใสเพิ่มแสงสะท้อนของ Ray-Tracing
- เกมเพลย์วางองค์ประกอบได้อย่างลงตัว และมีอาวุธให้เลือกเพียบ
- ด้วยเทคโนโลยี SSD ของ PS5 ทำให้ไม่มีหน้าโหลดใด ๆ
จุดสังเกต (Con)
- ภารกิจเสริมน้อยไปหน่อย
- ยังมีบั๊กเล็กน้อยในบางจุด (จะได้รับการแก้ไขใน Day-1 Patch)
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณ โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงค์โปร
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ