เกมส์: UNCHARTED: Legacy of Thieves Collection
แพลตฟอร์ม : PS5 และ PC
ราคา: 1,690.00 (PS5)
วันวางจำหน่าย: 28 มกราคม 2022
หากเราพูดถึงเกมผจญภัยล่าสมบัติสุดมันส์ และเร้าใจนั้น ทุกคนจะนึกและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือซีรี่ย์เกม “Uncharted” ผลงานการพัฒนาเกมของ Naughty Dog เรียกได้ว่าเป็นเกมที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ทางค่าย ทว่าตำนานการผจญภัยของ Nathan Drake ก็สิ้นสุดลงในเกม Uncharted 4: A thief’s end ซึ่งวางจำหน่ายบน PS4 ในปี 2016 จากนั้นเป็นเวลา 1 ปีทาง Naughty Dog ได้กลับมาพร้อมเกม Uncharted: Lost Legacy ให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึง มันคือภาค Spin-off หรือภาคแยกแตกกิ่งออกมาจากภาคหลักบน PS4 เช่นกัน
แม้ในเวลานี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเราจะได้เห็นตำนานผจญภัยบทใหม่จาก Naughty Dogs หรือไม่ แต่ล่าสุดทางโซนี่ตัดสินใจนำเกมทั้งสองภาคนี้มารีมาสเตอร์ใหม่บน PS5 เป็นแพ็คมัดรวมกันโดยใช้ชื่อว่า Uncharted: Legacy of Thieves Collection อย่างไรก็ตามมันจะคุ้มค่าในการเสียเงินมาเล่นใหม่มั้ย? อย่าลืมว่าทั้งสองภาคนี้เคยแจกมาแล้วสำหรับสมาชิก PS Plus? แล้วมีความรู้สึกต่างกันมั้ยเมื่อเล่นบน PS5? เชิญอ่านรีวิวเกม Uncharted: Legacy of Thieves Collection (PS5) ชุดตำนานผจญภัยล่าสมบัติฉบับเน็กซ์เจน
เนื้อเรื่อง
เนื่องจาก Uncharted: Legacy of Thieves Collection มัดรวมเกมมา 2 ภาคเนอะ ดังนั้นเราจะมาเริ่มกันที่ Uncharted 4: A thief’s end เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นหลัง Nathan Drake ได้เกษียณตัวเองจากการเป็นนักล่าสมบัติมาใช้ชีวิตปกติกับ Elena Fisher ภรรยาของเขาอย่างสงบ แต่แล้ววันหนึ่ง Sam Drake พี่ชายของ Nathan ที่เขาคาดว่าตายระหว่างแหกคุกเมื่อ 15 ปีก่อนกลับปรากฎตัวขึ้น จากการซักถามของ Nathan ในที่สุด Sam ก็บอกว่ามีคนช่วยเขาออกมา และเขาได้ติดสิ้นบนและรับปากจะล่ามหาสมบัติของเจ้าโจรสลัดเฮนรี่เอเวอรี่ในตำนานเพื่อแลกกับอิสระภาพ ด้วยเหตุนี้เอง Nathan Drake พร้อมกับลุง Victor Sullivan หรือ Sully กลับมาร่วมช่วยกันล่าสมบัตินี้ แน่นอนระหว่างทางมีเรื่องราว เกิดการพลิกล็อคมากมาย สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นนั้นลองไปติดตามกันเองนะครับ
ส่วน Uncharted: Lost Legacy เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังภาค 4 Chloe Frazer นักล่าสมบัติได้เดินทางไปยังประเทศอินเดีย เพื่อออกตามหางาในตำนานของพระพิฆเนศ บุตรของพระศิวะในศาสนาฮินดู ผู้สูญเสียงาในขณะที่ปกป้องวิหารของบิดา Chloe ได้ว่าจ้าง Nadine Ross (ตัวร้ายจากภาค 4) ทหารรับจ้างมาช่วย พวกเขาแอบเข้าไปในห้องทำงานของ Asav (Usman Ally) หัวหน้ากลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งเป็นอดีตคนรู้จักของ Nadine ผู้ซึ่งต้องการใช้งาเพื่อระดมกำลังอินเดียเข้าสู่สงครามกลางเมือง Chloe และ Nadine ขโมยแผนที่ที่ชี้ไปที่งาช้างในอาณาจักร Hoysala โบราณและพบกับแผ่นศิลาที่ทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดสมบัติ แต่เรื่องราวจะเป็นเช่นไรนั้นลองไปติดตามกันเองนะครับ
ต้องยอมรับว่าถึงแม้ผู้เขียนจะเล่นทั้ง 2 เกม มาแล้ว 3 รอบ จนทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่าจะเป็นเข่นไร แต่เมื่อเริ่มเล่นแล้วด้วยเรื่องราวที่น่าติดตามมันทำให้ผู้เขียนหยุดเล่นไม่ได้จริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ค่ายพัฒนาหลายแห่งยกให้ Naughty Dogs เป็นสตูดิโอที่ทำเรื่องราวในเกมได้น่าติดตามมากที่สุด สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นบน PS5 แตกต่างจาก PS4 นั้น มันคือการที่เกมไม่มีหน้าโหลดคั่นกลางแม้แต่น้อย ตั้งแต่การเข้าเกม การสลับฉากคัตซีนและเกมเพลย์ หรือเวลาตายแล้วโหลด checkpoint ใหม่ คือมันไร้รอยต่อมาก ๆ ไม่ทำให้เราต้องรอ นี่แหละมันเป็นแรงขับเคลื่อนทำให้เราอยากเล่นต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่าเมื่อไม่มีหน้าโหลดแล้วมันเหมือนเรานิสัยเสียจะไม่สามารถกลับไปเล่นเวอร์ชั่น PS4 ได้อีก
เกมเพลย์
เกมเพลย์ Uncharted 4: A thief’s end และ Uncharted: Lost Legacy เป็นเกมเพลย์ตัวเดียวกัน ใช้เอนจิ้นตัวเดียวกันเป๊ะ แน่นอนมันเป็นเกมเพลย์ในสูตรสำเร็จของ Naughty Dog ที่ใช้มาในหลายเกมของพวกเขานับไม่ถ้วน อย่างใน 2 ภาคนี้แม้เกมเพลย์จะไม่ได้ละเอียดเท่ากับ The Last of Us Part II ซึ่งมันเป็นเกมที่ใหม่กว่า แต่ก็มีลักษณะโดดเด่นที่มีในเฉพาะ Uncharted เท่านั้นเช่น อย่างเช่นการปีนไต่ต่างๆ ได้มีการเพิ่มรายละเอียดตรงตัวละครให้มีความสมจริงมากขึ้น ยังได้เพิ่มระบบการโยนเชือกและการใช้หมุดตอกไปยังชั้นหินเพื่อไต่ไปยังจุดต่อไป ทั้งนี้ในเกม Uncharted มันให้ความบู๊มากกว่า
ระบบการต่อสู้ก็เรียกได้ว่ามีช่องทางหลากหลายให้ผู้เล่นได้สัมผัส และนำไปออกแบบการโจมตีในแบบที่ตนเองชอบได้เช่นการ ลอบเร้นภายใต้กอหญ้า การโหนเชือกกระโดดมาต่อยศัตรู การใช้ระเบิด เป็นต้น ทั้งนี้มันขึ้นอยู่ที่สไตล์การเล่นของเราทั้งนั้นว่าเราจะเข้าโจมตีแบบไหน ตัวอาวุธเองแม้จะมีให้เลือกไม่มาก และไม่สามารถอัปเกรดได้ซึ่งมันเป็นสไตล์ของซีรี่ย์นี้
สิ่งที่เกมส์ Uncharted ทั้งสองภาคนี้ทำให้พิเศษกว่าภาคอื่นนั่นคือ เนื่องจากเกมส์ Uncharted เป็นเกมส์ลักษณะแบบ Sand-Box จึงจะไม่ได้อิสระในการเล่นเท่าไร แต่ในเกมทั้งสองภาคนี้ ทางทีมพัฒนาได้ออกแบบเกมส์อย่างชาญฉลาด โดยเกม Uncharted ทั้งสองภาคนี้ ได้ออกแบบมาเป็นกึ่ง Sand-Box กึ่ง Open-world เพื่อให้ผู้เล่นได้มีอิสระในการหาทางต่อสู้กับศัตรูได้หลากหลายมากขึ้น ความเป็น Open-World ในเกมส์นี้ทำออกมาได้พอดีมากๆ ป่าในมาดากัสก้าที่กว้างใหญ่ให้เราขับ รถ 4WD ท่องไปได้ทั่ว หรือในท้องทะเลที่เราสามารถดำน้ำลงไปสำรวจได้โดยที่ไม่ได้เป็นโลก Open-world ที่กว้างไปจนหลง ด้วยความพอดีนี่แหละครับ เกมส์จึงออกมาสมบูรณ์แบบจริงๆ
คงความเป็น Uncharted แม้ว่าจะมีระบบใหม่ๆเสริมเข้ามา แต่เกมส์ก็ยังคงความเป็น Uncharted อยู่โดยเฉพาะการแก้ไขปริศนาต่างๆระหว่างการผจญภัย ที่ออกแบบมาพอดีๆไม่ซับซ้อนแบบภาคก่อนๆ ทางด้านบทพูดระหว่างการผจญภัยก็ยังสนุกเหมือนเดิม มีความฮาและมุกสไตล์ Uncharted ไม่ว่าจะระหว่าง Drake กับ Sam หรือ Drake กับ Sullivan หรือ Chloe และ Nadine ที่ทำให้รู้สึกว่าเกมส์ยังคงต้นฉบับซีรี่ย์ Uncharted อยู่
Uncharted: Legacy of Thieves Collection คือการรีมาสเตอร์ทั้ง 2 ภาคที่ผู้เขียนกล่าวมาสำหรับ PS5 มันต่างจากเดิมอย่างไร สิ่งที่ทำให้แตกต่างนอกจากความเร็วของ SSD ที่ตัดหน้าโหลดออกไปคือ การใช้คุณสมบัติของจอย DualSense อาทิ Adaptive Trigger และ Haptic feedback ส่วนตัวแล้วระบบสั่นทำได้ดีเลย มันจะสั่นเฉพาะจุดตามสถานการณ์ในเกม ทว่าในทางกลับกัน Adaptive Trigger ยังนำมาใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไร มีใช้หนัก ๆ เลยคือตอนขับรถจิ๊บ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้ตอนยิงกระสุนให้มันมีแรงดีด ไม่งั้นส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดว่าจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้เพิ่มมากกว่านี้ แต่ในแง่เกมเพลย์นอกเหนือจากนี้แล้วมันดีในตัวต้นฉบับเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งแต่อย่างใด
กราฟิก และประสิทธิภาพ
แรงจูงใจที่จะทำให้เกมเมอร์ซื้อ Uncharted: Legacy of Thieves Collection มาเล่นคือกราฟิกและประสิทธิภาพ แม้ตัวเกมจะมีอายุกว่า 5 ปีแล้วแต่ผู้พัฒนาก็ได้ปรับปรุงกราฟิกขึ้นมาให้รู้สึกแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในแง่สีสัน ความคมชัด ลักษณะสีหน้าของตัวละคร รวมไปถึงแสงและเงาที่ทำออกมาได้ระดับมาตรฐานเกมของ PS5 แน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ray-tracing การสะท้อนของวัตถุจากแอ่งน้ำ จากกระจก ทำให้องค์ประกอบโดยรวมดูดีขึ้น บวกกับการตัดหน้าโหลดออกไปกลายเป็นไร้รอยต่อราวกับดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเลย
ส่วนโหมดถ่ายภาพก็เป็นไปตามต้นฉบับ สามารถปรับ Filter ปรับแสง หรือสีได้เหมือนเดิม ในโหมดนี้ไม่ได้มีการปรับปรุงอะไรทำให้การเลือกออพชั่นต่าง ๆ อาจจะไม่สะดวกเท่าเกมใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน
ทางด้านดนตรีประกอบไม่ต้องพูดถึงกับดนตรีเร้าใจที่ชาวเพลย์สเตชั่นคุ้นหู ได้ถูกต่อยอดให้รองรับระบบ 3D Audio ของหูฟัง Wireless headset ช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้ดีขึ้นอย่างมาก ราวกับว่าผจญภัยไปกับ Nathan Drake เลย
ส่วนทางด้านประสิทธิภาพเกมนำเสนอด้วยกันถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมด Fidelity มุ่งเน้นคุณภาพความละเอียดสูงสุดที่ Native 4K บนอัตราเฟรมเรต 30 FPS ถัดมาคือโหมด Performance มุ่งเน้นการเล่นแบบไหลลื่นบนเฟรมเรต 60 FPS ขณะที่ลดความละเอียดภาพเหลือ 1440p หรือ 4K แบบ Upscale และโหมดสุดท้ายที่ไม่เคยมีในเกมไหนมาก่อนคือโหมด Performance+ สัมผัสประสบการณ์เฟรมเรตสูงสุด 120 FPS บนความละเอียด 1080p ส่วนตัวแล้วผู้เขียนยังไม่ได้ลอง Perfomance+ นะแต่คาดว่าลื่นหัวแตก
Verdict
Uncharted: Legacy of Thieves Collection เป็นการมัดรวมเกม Uncharted 2 ภาคล่าสุดและนำมาปรับปรุงให้ชาวเพลย์สเตชั่นได้หายคิดถึงบน PS5 แม้บางคน (รวมถึงผู้เขียน) ได้เล่นมาแล้วหลายครั้ง แต่การเล่นบน PS5 ในประสบการณ์ที่แตกต่างจากเทคโนโลยี SSD ที่ตัดหน้าโหลดออกไป นำประสบการณ์ไร้รอยต่อมาให้ผู้เล่น ผสมผสานกับคุณสมบัติ DualSense ภาพกราฟิกคมชัด และรองรับเฟรมเรตสูงสุด 120 FPS และระบบเสียง 3D Audio ผู้เขียนกล้าพูดได้เลยว่าประสบการณ์เล่น Uncharted ทั้ง 2 ภาคนี้บน PS5 มันไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
9.5/10
จุดเด่น (Pro)
- ด้วยเทคโนโลยี SSD ของ PS5 ทำให้ไม่มีหน้าโหลด
- การปรับปรุงกราฟิกสวยงาม คมชัด และสมจริงขึ้น
- รองรับเฟรมเรตสูงสุดถึง 120 FPS
จุดสังเกต (Con)
- ฟังชั่น Adaptive Trigger ยังถูกใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- น่าเสียดายที่โหมดถ่ายรูปไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยตามยุค
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณบริษัท PlayStation Asia
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ