เกมส์: Gran Turismo 7 (แกรนทัวริสโม 7)
แพลตฟอร์ม : PS4 และ PS5
ภาษา : รองรับภาษาไทย
ราคา: 1,990(PS4) และ 2,290 (PS5)
วันวางจำหน่าย: 4 มีนาคม 2022
หากใครเป็นแฟนเพลย์สเตชั่นตัวยงจะต้องรู้จักเกม Gran Turismo (GT) ซีรี่ส์เกมแข่งรถเสมือนจริงที่อยู่คู่กับเครื่องเพลย์สเตชั่นมายาวนานถึง 25 ปี ยอดขายรวมกว่า 56 ล้านชุด จนได้รับยกย่องเป็นเกมแข่งรถเสมือนจริงที่ดีที่สุดตลอดกาล และแล้วในการครบรอบ 25 ปีของซีรี่ย์นี้เองทาง Polyphony Digital ก็ได้ปล่อย Gran Turismo 7 ออกมาให้ชาวเพลย์สเตชั่นได้สัมผัสบน PS5 เกมมาพร้อมฟีเจอร์ที่เรารอคอย โหมดหลักถูกนำกลับมาจากภาคหกและพัฒนาให้ดีขึ้น มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ๆ ช่วยเพิ่มความสมจริงในการขับขี่ ทว่ามันจะสมกับการรอคอยหรือไม่ ผู้เขียนเชื่อว่าหลังจากได้อ่านรีวิวนี้คุณจะได้คำตอบ เรียนเชิญอ่านรีวิว Gran Turismo 7 – นี่สิคือแกรนทัวริสโมที่เรารอคอย!!
ประสบการณ์แกรนทัวริสโมของจริง
บางคนอาจจะทราบแล้วว่า “Gran Turismo Sport” ที่วางจำหน่ายก่อนหน้านี้ ไม่ได้นับเป็นเกมภาคหลัก แต่เป็นภาคพิเศษมุ่งเน้น E-Sport และเป็นเกมต้นแบบเพื่อนำพาผู้เล่นไปสู่เกมภาคหลักต่อไปคล้ายกับ Gran Turismo Prologue เกมที่มาก่อนภาค 6 วางจำหน่าย แต่ต่างกันที่ GT Sport มีฟีเจอร์มากกว่าและมาพร้อมโหมดออนไลน์ สำหรับ Gran Turismo 7 ถือว่าเป็นภาคหลักอย่างเป็นทางการ เกมนำเสนอรถยนต์มากกว่า 420 คัน และมีสนามแข่งมากกว่า 90 สนามตั้งแต่วันแรกของการจำหน่าย
Gran Turismo 7 ยังคงนำเสนอการแข่งขันรถเสมือนจริงตามสูตรสำเร็จตลอด 25 ปีของซีรี่ย์ ถ้าใครเคยสัมผัสเกมจากซีรี่ย์นี้จะทราบดีว่าเกมมุ่งเน้นการขับขี่อย่างสมจริง ดังนั้นไม่ใช่ว่าเราจะเร่งความเร็วสูงลูกเดียว โค้งไม่เบรคแบบเกมขับรถทั่วไปแบบนี้ทำไม่ได้ การจะมาเล่นเกมนี้ได้ผู้เล่นหน้าใหม่จะต้องเข้าใจธรรมชาติในการขับรถเสียก่อน การแตะคันเร่งหรือแตะเบรค และน้ำหนักจะต้องสัมพันธ์กับมุมโค้งของสนาม ทั้งนี้ต้องเข้าใจโค้งแต่ละสนามเพื่อจะสามารถทำความเร็วหรือเร่งเพื่อแซงได้ ส่วนเรื่อง Class รถแข่ง GT7 นำเสนอระบบ PP หรือคะแนนสมรรถนะโดยรวมของรถต์ มีการแบ่งเป็นกลุ่ม 1,2,3,4 เหมือนกับ GT Sport
ตัวเกมได้นำระบบ Dynamic Weather หรือระบบอากาศอัตโนมัติกลับมาหลังจากถูกตัดออกใน GT Sport ทั้งแข่งช่วงเย็นจะค่อย ๆ มืดขึ้นระหว่างการแข่ง หรือแข่งตอนมีเมฆมากจนฝนตกระหว่างแข่ง ทั้งนี้ตัวเมนูของเกมได้รับแรงบันดาลใจจาก Gran Turismo 4 เป็นแผนที่ และมีสถานที่ต่าง ๆ เป็นไอคอนให้ผู้เล่นเลือกเข้าสู่โหมดต่าง ๆ ของเกม ส่วนตัวผู้เขียนชอบเมนูสไตล์นี้มากมันดูสบายตา และ Interactive ดี ต่างจาก GT6 ที่ดูทึบและการเข้าถึงเมนูต่าง ๆ ดูยาก
ในเรื่องการควบคุมรถแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีจอยพวงมาลัยเพื่อเสริมประสบการณ์ขับขี่ในเกมให้สมจริงและเร้าใจ ทำให้จอย DualSense เป็นส่วนสำคัญในการเสริมประสบการณ์ในภาคนี้เลยก็เป็นได้ ถ้าเคยสัมผัส GT Sport จะทราบว่าเมื่อกด R2 บนจอย ตัวเกมจะเอาแรงกดมาคำนวนเป็นแรงเหยียบคันเร่ง หากกด R2 ครึ่งเดียวรถก็จะเร่งครึ่งเดียว แต่หากกด R2 ก็เสมือนเราเหรียบคันเร่งมิด ดังนั้นรถสมรรถนะสูง ๆ มันก็จะพุ่งเต็มสูบไปข้างหน้า แต่ด้วยคุณสมบัติของ DualSense ทางผู้พัฒนาได้นำ Haptic feedback และ Adaptive Trigger มาใช้งานได้อย่างชาญฉลาด
Adaptive Trigger เวลากด R2 เหยียบคันเร่งตัว Adaptive Trigger จะทำงาน มันจะให้ความรู้สึกสั่นขึ้นมา และในกรณีที่เบรคเข้าโค้ง แล้วกด R2 เพื่อเหยียบคันเร่งส่งกำลังตัวทริกเกอร์มันจะกระตุก ๆ ราวกับรถจริง มิหนำซ้ำในกรณีรถเกิดการปัด ทริกเกอร์ก็จะกระตุกเช่นกัน ตัว Adaptive Trigger ทำงานควบคู่กับระบบสั่นแบบใหม่ได้เป็นอย่างดี การสั่น Haptic feedback มันจะสั่นผสานกับตัวทริกเกอร์ เมื่อเหยียบคันเร่ง รวมถึงพื้นผิวสนามแข่งก็ให้ความรู้สึกสั่นที่ต่างกัน อย่างสนามแนววิบากเป็นผิวสนามดิน ก็จะให้แรงสั่นขรุขระสลับกันไป แรงสั่นตอนรถดริฟท์เข้าโค้งก็จะให้ความรู้สึกสั่นตามแนวโค้ง และในกรณีสนามแข่งปกติแต่เกิดฝนตก ลักษณะการสั่นและทริกเกอร์ก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันให้เรารับรู้ได้เลยว่าถนนมันลื่น ด้วยการพัฒนาโดยใช้คุณสมบัติ DualSense มันให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันจริง ๆ นั่นก็จะผนวกฟิสิกส์ที่ดีขึ้น แรงเหวี่ยงเวลารถเข้าโค้งเร็ว ๆ ตีงนั้ทำได้สมจริงกว่าเดิม คิดว่าใช้พวงมาลัยเล่นคงดีมาก ๆ
เรื่องระบบควบคุมมีการปรับปรุงอย่างที่กล่าวไป แต่ในส่วนของ AI ล่ะมีแก้ไขหรือไม่? ทางผู้พัฒนาเปิดเผยก่อนหน้านี้แล้วว่ามีการพัฒนา AI ให้มีความฉลาดและเก่งขึ้น ผลจากการลองเล่นคือผู้เขียนคิดว่าไม่ได้เก่งขึ้นกว่า GT Sport (อาจจะเพราะไม่ได้เลือกระดับยากสุดด้วยหรือเปล่า) ตัว AI ยังทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความเก่ง สามารถแซงขึ้นได้ไม่ยาก มันจึงไม่ได้รู้สึกท้าทายนัก แม้ว่าในบางการแข่งขั้นจะใช้รถรุ่นเดียวกัน สมรรถนะเท่ากัน ผู้เขียนเริ่มลำดับหลังสุด แต่ในเพียงรอบแรกผู้เขียนก็สามารถแซงขึ้นมาเป็นจ่าฝูงได้โดยง่าย และทิ้งห่างจากอันดับสองพอสมควร โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกัน
โหมดใหม่กับ Gran Turismo Café
นอกจากระบบเกมเพลย์ที่ได้รับการปรับปรุงด้วยคุณสมบัติ DualSense สิ่งหนึ่งที่ GT7 เพิ่มเข้ามาคือ “Gran Turismo Café” เปรียบเสมือนโหมดแคมเปญของภาคนี้ก็ว่าได้ ในโหมดนี้ผู้เล่นจะได้รับมอบหมายให้สะสมรถยนต์ผ่าน “เมนู” ที่ได้รับ แต่ละเมนูก็จะมีภารกิจให้ทำเพื่อไปแข่งรถในการแข่งขันที่ระบุ หากชนะอันดับ 3 ขึ้นไปก็จะได้รถยนต์เป็นรางวัล และตั๋ว Roulette Tickets ไปจับรางวัลต่อด้วย แต่สิ่งที่ผู้เขียนชอบคือไม่เพียงเราเล่นเพื่อสะสมรถ แต่เมื่อทำภารกิจในแต่ละเมนูเสร็จตัวเกมจะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของรถยนต์แต่ละรุ่น/ยี่ห้อที่เราได้รับมาด้วย โหมดนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เกมที่แข่งรถ สะสมเครดิตไปซื้อรถยนต์ที่เราชอบไปแข่งเพียงอย่างเดียว
โหมด Gran Turismo Café นี้จะมีเมนู (ภารกิจ) ให้เราได้ทำมากกว่า 30 เมนูซึ่งจะนำไปสู่การสะสมรถยนต์หลายคันเลย ในแต่ละภารกิจก็จะมีความยากต่างกัน และบางภารกิจมีข้อจำกัดด้วยนะว่าเราจะต้องใช้ยี่ห้อ/รุ่นรถยนต์ตามที่กำหนดเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมการแข่งขันได้ เราจึงจะได้ขับรถหลากหลายประเภท หลายยุคสมัย ทางคุณ Kazunori Yamauchi ได้เผยว่าหากเคลียร์เมนูทั้งหมดในโหมด Gran Turismo Café ก็เหมือนผู้เล่นได้เคลียร์เกมแล้ว แต่จากที่สัมผัสโหมดนี้ใช้เวลานานเกิน 12 ชั่วโมงเพื่อเคลียร์ ดังนั้นใจชื้นได้เลยเล่นกันยาว ๆ
โหมดภาคหลักกลับมา พร้อมไฉไลกว่าเดิม
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ Campaign Mode สุดคลาสสิกที่กลับมาในภาคนี้ อย่างแรกเลยคือ Licence Center หรือศูนย์สอบใบขับขี่กลับมา ตั้งแต่ใบขับขี่ประเภท National B ไปจนถึงใบขับขี่ระดับซุปเปอร์ การสอบในแต่ละประเภทก็เหมือนภาคก่อน ผู้เล่นจะต้องผ่านการทดสอบการขับขี่ทั้งหมด 10 ภารกิจ จึงจะปลดล็อคให้สอบใบขับขี่อันถัดไป ถึงผู้เขียนจะเคยสัมผัสโหมดนี้มาบ้างแล้วแต่มันก็ยังทำให้ผู้เขียนหัวร้อนพอสมควร
ถัดไปก็จะเป็นในส่วนของ Mission Challenge หรือภารกิจอันท้าทาย แต่ละภารกิจก็จะมีระดับความยากต่างกันและขึ้นอยู่กับเลเวลของผู้เล่น โหมดนี้ก็ท้าทายโดยเฉพาะระดับยาก ๆ แต่สำหรับผู้เขียนยังไม่ยากเท่าการสอบใบขับขี่โดยเฉพาะระดับซุปเปอร์ อันนี้หินมาก
โหมดที่กลับมาอีกโหมดคือ GT Auto และการปรับจูนรถยนต์ หลังไม่ได้ปรากฏใน GT Sport ในโหมด GT Auto ก็จะเป็นการให้เรานำรถมาบำรุงรักษาหลังผ่านการแข่งขันมาหลายสนามเช่น การถ่ายน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนเครื่องยนต์ การเสริมความแข็งแรง เหมือนกับที่เคยมีมาใน GT5 รวมถึงการปรับแต่งตัวถังรถก็กลับมาในภาคนี้
อีกหนึ่งเมนูที่กลับมาจากเกม GT ยุคเก่าคือ Used Car Dealership หรือร้านขายรถมือสอง!! เพราะเคยถูกถอดออกใน GT6 เนื่องจากทำให้ผู้เล่นสับสนระหว่าง Bank Central โชว์รูมรถยนต์มือหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ทางผู้พัฒนาตัดสินใจเอากลับมา ในเมนูก็จะมีรถมือสองให้ผู้เล่นได้เลือกซื้อ มันแสดงกิโลเมตรด้วยว่าวิ่งไปเท่าไหร่ บางคันซื้อมาอาจต้องนำมาซ่อมก่อนด้วยนะ ตัว UI ออกแบบได้ดีและแยกจากรถมือหนึ่งอย่างชัดเจน แต่ตัวเลือกรถมือสองค่อนข้างน้อยเลย แม้ว่ารถจะสลับวนไปเรื่อย ๆ ก็ตาม ผู้เขียนเองเคยซื้อตอนช่วงต้นเกมแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง จากนั้นไม่ได้เข้าไปอีกเลย
ถัดกันมาติด ๆ คือร้านแต่งรถให้ผู้เล่นเลือกซื้ออะไหล่เพื่อไปปรับจูนรถยนต์ ในภาคหลักก็เป็นไปตามธรรมเนียผู้เล่นสามารถปรับจูนรถยนต์ได้มากกว่า GT Sport สามารถซื้อและใส่อะไหล่ที่คิดว่าเพิ่มประสิทธิภาพรถยนต์ให้มากที่สุด จุดนี้ผู้เขียนชอบถึงความสมจริงของเกมเพราะไม่ใช่ว่าเราจะโยนอะไหล่เทพ ๆ เข้าไปแล้วรถแรงอย่างเดียว แต่พอไปวิ่งจริงเกิดไม่สมดุล
ไม่ใช่ว่า GT7 จะไม่ได้นำฟีเจอร์ใน GT Sport ที่เป็นเหมือนรากฐานมาเลย เพราะหลายสิ่งหลายอย่างใน GT7 นี่แหละที่ได้มีการนำมาจาก GT Sport แล้วมีการต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นด้วย อย่างแรก Livery Editor เป็นฟีเจอร์ในการตกแต่งรถยนต์ นี่ถือเป็นฟีเจอร์ที่ดีที่สุดใน GT Sport ถูกยกมาไว้ในภาคหลักเต็ม ๆ เราสามารถสร้างสรรค์สติกเกอร์ ในแบบของเราเองได้ ติดแปะตามองศาและรอบตัวถังได้ตามต้องการ แล้วยังมีสติ๊กเกอร์ Preset จาก GT Sport มาให้ด้วยนะ ถ้าเคยแต่งใน GT Sport แล้ว สามารถจะใช้งานฟีเจอร์นี้ในภาคหลักได้อย่างง่ายดายเพราะมันถอดแบบกันมาเลย แต่ถูกต่อยอดด้วยพื้นที่ตำแหน่งที่สามารถวางสติ๊กเกอร์ได้ รวมถึงสร้าง Banner หน้ากระจกรถของตนเองได้อีก
อีกโหมดจาก GT Sport ที่ไม่มีไม่ได้เลยคือ “Scapes” หรือโหมดถ่ายภาพ ซึ่งก็ถูกยกเครื่องมาไว้ในภาคนี้เต็ม ๆ ผู้เขียนพูดได้ว่าเป็นโหมดถ่ายภาพที่ดีที่สุดแล้วก็ว่าได้ ระบบอนุญาตให้นำรถยนต์ใน collection ของเรามาวางลงบนฉากจากสถานที่ทั่วทุกมุมโลกให้เลือกมากมาย จากนั้นให้เราจัดแสง ตกแต่งภาพให้สวยงาม แล้วบันทึกรูปลงอัลบั้มตัวเอง สามารถแชร์ต่อในเกมได้ด้วยอีก หรือจะแคปออกมาข้างนอกก็ได้ จาก GT Sport ที่ทีมพัฒนาเสนอฉากสถานที่ให้ 1,200 แห่งจาก 23 ประเทศ ในภาคหลัดนี้ทางทีมงานได้เพิ่มฉากบวิวทิวทัศน์สถานที่จริงให้เป็น 2,500 แห่งจาก 43 ประเทศทั่วโลก สายถ่ายภาพถูกใจแน่นอน สำคัญคือมีฉากในประเทศไทยด้วยนะ
โหมดอื่น ๆ ก็จะมีโหมด Arcade โหมดต่อจอยเล่นกับเพื่อน และโหมดออนไลน์ซึ่งถูกยกมาจาก GT Sport โดยมีการรองรับการแข่งขัน E-Sport อีเวนท์ต่าง ๆ ในอนาคต เรียกได้ว่า Gran Turismo 7 เป็นเกมภาคหลักที่เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากเกม GT Sport อย่างสมบูรณ์
การออนไลน์ตลอดเวลา และภาษาไทยในเกม
นับตั้งแต่ GT Sport ทาง Polyphony Digital ตัดสินใจบังคับให้ผู้เล่นจำเป็นต้องออนไลน์ตลอดเวลาในแทบทุกโหมดการเล่น มีเพียงโหมด Arcade เท่านั้นที่อนุญาตให้ผู้เล่นสามารถเล่นแบบออฟไลน์ได้ แต่ใน GT7 นี้ดูเหมือนทางทีมพัฒนาไม่ปราณีแล้ว เพราะไม่ว่าจะโหมดไหนผู้เล่นก็ต้องออนไลน์ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการโกง ตอนเข้าเกมหลังโลโก้โซนี่ขึ้น ตัวเกมจะตรวจสอบเลยว่าเราต่ออินเตอร์เน็ตอยู่หรือไม่ หากไม่ตัวเกมก็จะไม่โหลดเข้าเกมให้ แล้วกรณีที่เน็ตหลุดระหว่างการแข่งขันล่ะ เราจะหลุดด้วยไหม? สถานการณ์เกิดขึ้นกับผู้เขียนระหว่างรีวิวเรียบร้อย ผู้เขียนแข่งอยู่ดี ๆ เน็ตหลุดแบบไม่ทราบสาเหตุ ตัวเกมตัดออกจากการแข่งขันทันที และมันจะพยายามต่ออินเตอร์เน็ต พอต่อได้แล้วก็ต้องแข่งใหม่หมด -.- ส่วนนี้ไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่
มาว่าเรื่องภาษากันบ้าง GT7 รองรับภาษาไทย ตาม GT Sport ที่เป็นเกมแรกที่รองรับภาษาไทยบนเพลย์สเตชั่น ดังนั้นตัวเกมได้มีการปรับปรุงให้มีเข้ากับสิ่งที่จะสื่อออกมาได้ชัดเจน การใช้คำศัพท์เหมาะสมและสิ่งที่ผู้เขียนชอบคือตัวฟอนต์ภาษาไทยดีเข้ากับเกม ไม่ทำให้ตัวอักษรดูลีบหรืออ้วนไป อย่างไรก็ตามมันยังมีปัญหาเหมือนกับเกมที่รองรับภาษาไทยเกมอื่น ๆ คือตัวเล็ก แม้จะปรับใหญ่แล้วแต่ก็ยังเล็กอยู่ดี
กราฟิกและประสิทธิภาพ
ขึ้นชื่อว่าเป็น Gran Turismo เราก็ไม่ต้องพูดถึงกราฟิกของเกมก็ได้มั้ง เพราะจากประวัติศาสตร์เรียกได้ว่า Gran Turismo สร้างปรากฏการณ์ด้านกราฟิกให้เราทึ่งกันทุกเจนเนอร์เรชั่น สำหรับ GT7 ก็เช่นกัน แม้ดูผ่าน ๆ อาจจะไม่ได้เห็นความต่างแน่ชัดกับเกม GT Sport แต่พอได้สัมผัสบน PS5 ด้วยการขับเคลื่อนของระบบ Ray Tracing และระบบแสงที่ดีขึ้น มันสร้างความต่างชัดขึ้นเมื่อได้นั่งเล่นจริง ๆ พื้นผิวเงา ๆ ของตัวรถกระทบเป็นภาพสะท้อนของวัตถุโดยรอบอย่างสมจริงไม่ว่าจะ ลายถนนและวิวรอบตัว ตรงนี้สมจริงมาก อย่างไรก็ตามมันจะมีบางช่วงจังหวะที่ไม่ได้มีแสงกระทบลงบนพื้นถนน บรรยากาศครึ้ม ๆ หน่อยจุดนี้ ถนนในสนามอาจจะไม่ได้ดูสวยงามอย่างที่คิด มันกลายเป็นบล็อกสีเทา ๆ ไม่มีแสงสะท้อนใด ๆ จุดนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเป็นบั๊คหรือไม่
ในเรื่องประสิทธิภาพตัวเกมภายใต้ PS5 นั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เฟรมเรตนิ่งไม่มีกระตุกใด ๆ ทั้งยังไม่ได้มีหน้าโหลดคั่นกลางใด ๆ กดเริ่มแข่งปุ๊บหน้าจอขึ้นหน้าสนามทันทีพร้อมแข่ง ส่วนโหมดการแสดงผลและประสิทธิภาพของเกมแบ่งออกมาเป็น 2 โหมดได้แก่ โหมดเน้นเฟรมเรต ระบบก็จะปรับค่า Ray Tracing ลดลง ปรับเอฟเฟ็กต์ให้น้อยลง มุ่งเน้นเฟรมเรตสูงสุด และโหมดเน้น Ray Tracing ก็จะตรงข้ามกับโหมดตะกี้ อย่างไรก็ตามตัวเกมไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเฟรมเรตรันอยู่เท่าไหร่ แต่จากที่ผู้เขียนดูด้วยตาเปล่าคือ 60 FPS ในโหมดเน้นเฟรมเรต
Verdict
Gran Turismo 7 เป็นเกมแกรนทัวริสโมที่หลายคนเฝ้ารอมาตลอดเกือบ 9 ปีนับตั้งแต่ GT6 ภาคหลักวางจำหน่ายเมื่อ 2013 โดยได้มีการพัฒนาและนำเสนอโหมดใหม่อย่าง Gran Turismo Café และโหมดเก่ารากเหง้าของซีรี่ย์กลับมาเช่น Licence Center และ Used Car Dealership ทั้งนี้ยังมีการนำโหมดที่ถูกวางรากฐานตั้งแต่ GT Sport นำมาต่อยอดและปรับปรุงใหม่ให้ดียิ่งขึ้นในภาคนี้ ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กราฟิกอันสวยงามที่ยากจะหาใครเทียบได้ ไปจนถึงการนำเอาคุณสมบัติเครื่อง PS5 มาใช้อย่างเต็มที่ ผลคือมันได้ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่นได้จริง ๆ แม้จะมีข้อสังเกตเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าง AI การออนไลน์ตลอดเวลา หรือกราฟิกบางช่วงดูแปลก ๆ ทว่ามันไม่ได้กระทบต่อประสบการณ์ในเกมโดยรวม ถ้าใครคนไหนเป็นแฟนซีรี่ย์แกรนทัวริสโมไม่ควรพลาด
8.5/10
จุดเด่น (Pro)
- กราฟิกสวยงามสมจริงยิ่งขึ้นโดย Ray Tracing
- การบังคับให้มีอารมณ์และมิติมากขึ้นด้วยคุณสมัติ DualSense
- มีโหมดให้เล่นเพียบ โดยเฉพาะ Gran Turismo Café สนุกและเล่นได้เรื่อย ๆ
- ยังคงครองแชมป์โหมดถ่ายภาพที่ดีที่สุด
- โหมดออนไลน์นำเกมก้าวเข้าสู่ E-Sport อย่างเต็มตัว
จุดสังเกต (Con)
- ต้องออนไลน์ตลอดเวลาในทุกโหมดไม่มีข้อยกเว้น หากหลุดระหว่างแข่งต้องเล่นใหม่
- AI ยังไม่ฉลาดสักเท่าไหร่ บางครั้งรู้สึกว่าเอาชนะง่ายเกินไป
- โหมด Used Car Dealership กลับมาก็จริง แต่แทบไม่ได้ใช้บริการ
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณบริษัท PlayStation Asia
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ