เกม: The Last of Us Part I (PS5)
แพลตฟอร์ม : PS5
ภาษา : อังกฤษ
ราคา: 2,290 บาท
วันวางจำหน่าย: 2 กันยายน 2022
เป็นเวลาเกือบทศวรรษนับตั้งแต่ The Last of Us วางจำหน่ายบน PS3 ในปี 2013 แม้ว่าเกมจะวางจำหน่ายในช่วงปลายยุค PS3 แล้วก็ตาม ทว่ามันกลับสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมเกมตั้งแต่เรื่องราวภายในเกมจนไปถึงระบบเกมเพลย์และกราฟิกอันสวยงาม เกมสามารถกวาดรางวัลจากรายการต่าง ๆ รวม 200 กว่ารางวัล ต่อมาเกมถูก Remastered ลง PS4 ด้วยภาพและโทนสีที่คมชัดขึ้น ซึ่งหลายคนก็ไม่คิดว่าโซนี่จะนำเกมกลับมารีเมคใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทาง Naughty Dogs ประกาศเปิดตัว “The Last of Us Part I ” เกมรีเมคหรือสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดสำหรับ PS5 พวกเขาได้เคลมว่ามีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบหลายอย่างในเกม สร้างประสบการณ์สูงสุดและไม่เหมือนเดิม แต่มันจะจริงหรือไม่? แล้วคุ้มค่าแก่การเล่นซ้ำอีกสักทีไหม เรียนเชิญอ่านรีวิว The Last of Us Part I (PS5) – เกมเก่าเล่าใหม่ แต่ไม่เก็ตสึโนวาอย่างที่คิด!!
เนื้อเรื่อง
The Last of Us Part I นำเสนอเรื่องราวเดิมจากต้นฉบับที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2013 แบบเป๊ะ ๆ โดยไม่มีการเพิ่มเนื้อหาเข้ามาแต่อย่างใด สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นผู้เขียนขอเกริ่นคร่าว ๆ ให้ฟัง The Last of Us Part I เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อมีไวรัสประหลาดเกิดระบาดและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้กลายสภาพเป็นซอมบี้ ผู้เล่นรับบทเป็น โจเอล (Joel) คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาววัย 10 ขวบชื่อ “ซาร่า” (Sarah) หลังไวรัสเริ่มระบาดขึ้นโจเอล ซาร่าพร้อมกับทอมมี่ (Tommy) น้องชายของโจเอลได้พยายามหลบหนีออกจากเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจนคร่าชีวิตซาร่าลง
20 ปีต่อมา อารยธรรมถูกทำลายจากการแพร่ระบาดของไวรัส อาคารและบ้านเรือนถูกปล่อยร้างและธรรมชาติเข้ามาแทนที่ ผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในเขตกักกันพิเศษ หรือไม่ก็ตั้งกลุ่มอิสระปกครองกันเองขึ้นมาหนึ่งในกลุ่มเหล่านี้คือ Fireflies ส่วนโจเอลทำงานเป็นคนลักลอบค้าของกับเทส (Tess) หุ้นส่วนของเขาในเขตกักกันโรคทางเหนือของเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โดยในเรื่องราวพวกเขาตามล่าโรเบิร์ต (Robert) พ่อค้าตลาดมืด เพื่อกู้คืนอาวุธที่ถูกโรเบิร์ตขโมยไป ก่อนที่เทสจะฆ่าเขา โรเบิร์ตเปิดเผยว่าเขาทำข้อแลกเปลี่ยนกับพวก Fireflies เพื่อขนส่งสินค้าชนิดหนึ่งให้พวก Fireflies เพื่อแลกกับคลังอาวุธพวกนี้
จากนั้นโจเอลและเทสได้มาพบกับมาร์ลีน (Marlene) ผู้นำ Fireflies สัญญาว่าจะเพิ่มคลังอาวุธนี้เป็นสองเท่าเพื่อแลกกับการลักลอบขนเด็กสาววัยรุ่นชื่อ เอลลี่ (Ellie) ไปยังฐานของ Fireflies ที่ซ่อนตัวอยู่ในทำเนียบรัฐบาลแมสซาชูเซตส์นอกเขตกักกัน นี่เองคือจุดเริ่มต้นการเดินของโจเอล และเอลลี่ ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้าง และจุดประสงค์ในการส่งตัวเอลลี่คืออะไรไปติดตามเอาเอง
ผู้เขียนจะเล่าความรู้สึกของคนที่ได้เล่นภาค 1 มาเกิน 4 รอบบอกได้เลยว่าไม่ว่าจะกลับมาเล่นอีกสักกี่รอบผู้เขียนก็ยังคงยกให้ The Last of Us (ภาคแรก) เป็นเกมที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ดีที่สุด พัฒนาการของตัวละครสำคัญเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาดีสุด ๆ ไปเลย แต่สิ่งที่ทำให้การเล่น The Last of Us Part I เวอร์ชั่น PS5 นี้พิเศษกว่าบน PS3 หรือ PS4 คือทางทีมพัฒนาได้มีการ “Rework” ฉากคัตซีนต่าง ๆ ใหม่ ผมเองรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ทันที มันรู้สึกไหลลื่นมากขึ้นและไร้รอยต่อราวกับดูภาพยนตร์ดี ๆ เรื่องนึงเลย
สิ่งพิเศษอย่างต่อไปคือ การรองรับเมนูและซับไตเติ้ลภาษาไทยนี่ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับ The Last of Us Part I มันทำให้ผู้เขียนเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น รวมไปถึงของสะสมต่าง ๆ พวกโน๊ตและจดหมายในเกม ถ้าตามอ่านจนครบเราจะเข้าใจเรื่องอะไรอีกมากมายที่ทีมงานพยายามใส่เข้ามาซึ่งนอกเหนือจากบทสนทนาในเกม แต่ แต่ช้าก่อนนะไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อสังเกตเลย ว่ากันด้วยเรื่องแปลไทยผู้เขียนไม่รู้ว่าเปลี่ยนเจ้าแปลหรือเปล่า ผู้เขียนรู้สึกว่าดูแปลออกมาแข็ง ๆ รวมถึงยังไม่สามารถสื่ออารมณ์หรือใจความสำคัญของตัวละครออกมา เช่นการใช้ศัพท์ทางการหรือตรงตัวไปเกินไปที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ทำเอาความหมายเปลี่ยน เช่น “Hold on” ถูกแปลออกมาว่า “ถือไว้” แทนที่จะเป็น “เกาะไว้” เป็นต้น
อีกข้อสังเกตคือ ไม่รู้ว่าเป็นที่ผู้เขียนคนเดียวหรือเปล่า แต่ตอนแรกผู้เขียนคิดว่าทางผู้พัฒนาจะนำเสนอประสบการณ์เล่าเรื่องแบบ “Seamless” ไปเลยโดยการใส่ DLC Left Behind เข้ามาในเส้นเรื่องหลักระหว่างบทที่ 9 และบทที่ 10 ไปเลย กลายเป็นว่า Left Behind เป็นเมนูแยกออกจากโหมดเนื้อเรื่องหลักเหมือนกับใน PS3 และ PS4 ตรงนี้น่าเสียดายมากๆ ทำใหม่ทั้งทีควรแทรก DLC นี้ลงไปเลย และประสบการณ์เล่าเรื่องจะสมบูรณ์แบบกว่านี้
เกมเพลย์
หากพูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว The Last of Us Part I นำเสนอระบบเกมเพลย์ตัวเดียวกับต้นฉบับเมื่อปี 2013 อาจจะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นเล็กน้อย แต่เกมเพลย์ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก สิ่งที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเลยคือ User Interface (UI) ของหน้าเกมเพลย์ทั้งหมดถูกเปลี่ยนจากเดิม และแทนที่ด้วย UI ตัวเดียวกันกับ The Last of Us Part II ตั้งแต่เมนูเลือกอาวุธเมนูคราฟท์อุปกรณ์ เมนูอัปเดทสกิล ไอคอนต่าง ๆ โหมดดักฟัง ทั้งหมดนี้ถอดมาจาก The Last of Us Part II ทั้งสิ้น มันไม่ได้ช่วยให้เกมเพลย์แปลกใหม่ หรอกแต่มันทำให้องค์รวมของภาพตอนเล่นดูทันสมัยขึ้น
ไหน ๆ เราก็พูดถึง UI กันแล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมแน่ ๆ เลยคือเวลาผู้เล่นใช้ “โต๊ะช่าง” เพื่ออัปเกรดอาวุธ ซึ่งมีการใส่แอนิเมชั่นขณะที่โจกำลังอัปเกรดอาวุธแต่ละชิ้น ตรงนี้ก็ถอดมาจาก The Last of Us Part II แต่ต้องพัฒนาแอนิเมชั่นเพิ่มเติมขึ้นมา แต่อีกครั้งมันไม่ได้เสริมให้เกมเพลย์ดูใหม่ขึ้น แล้วมันจะมีพวกฉากต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปซึ่งผู้เขียนจะพูดในส่วนของกราฟิกอีกครั้ง แต่ด้วยฉากที่เปลี่ยนไปนี้เองทำให้เหล่าของสะสมในเกมมีการเปลี่ยนที่จากเดิมเล็กน้อย ตรงนี้สร้างประสบการณ์ใหม่ไม่ให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเคยเล่นเกมนี้มาก่อน
ตัวเกมเพลย์จากความรู้สึกผู้เขียนเลยนะ ไม่รู้สึกแตกต่าง ไม่ว่าจะกลไกการยิง กลไกการวิ่ง หรือการหมอบยังเหมือนเดิมทุกประการ มิหนำซ้ำเจอบั๊กด้วย สิ่งที่ดูเหมือนจะทำให้รู้สึกเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ก็คือตัว NPC เองมีความฉลาดมากขึ้น มีไหวพริ้บขึ้นเหมือนภาค 2 อีกอย่างที่มีการเปี่ลยนเล็กน้อยคือตอนเปิดตู้เซฟ ซึ่งในต้นฉบับหากผู้เล่นเก็บโน๊ตที่มีรหัสเซฟอยู่จะเปิดเซฟได้ทันที แต่ในภาครีเมคจะอิงตามระบบของภาค 2 คือผู้เล่นจะต้องใส่รหัสเปิดเซฟเอง ก็จะมีแอนิเมชั่นเหมือนภาค 2 ส่วนฟีเจอร์อย่าง Adaptive Trigger เองไม่ได้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากนัก เช่นเดียวกับ Haptic Feedback ที่ก็ให้ความรู้สึกใหม่ขึ้นแหละ แต่องค์รวมผู้เขียนไม่ได้รู้สึกว่าเฮ้ยมันดีนะ มันส่งเสริมประสบการณ์มากขึ้นนะ
นอกจากเกมเพลย์ สิ่งที่เสริมเข้ามาเพิ่มคือตัวเลือกการเข้าถึงซึ่งมีรองรับมากกว่า 60 ตัวเลือก ระบบนี้ก็ยกมาจาก The Last of Us Part II เช่นกันเพื่อให้กลุ่มเกมเมอร์ที่มีข้อบกพ่องทางร่างกายสามารถสนุกได้เทียบเท่ากับผู้อื่น ตรงนี้เป็นจุดที่ดีขอชมครับ
อีกส่วนหนึ่งคือไอเท็มพิเศษเสริมเข้ามา โดยผู้เล่นสามารถปลดล็อคได้โดยใช้คะแนนจากการสะสมระหว่างเล่นโหมดเนื้อเรื่อง ไอเท็มเหล่านี้ได้แก่ เสื้อโจเอลและเอลลี่ที่มาพร้อม Easter Egg ของเกมอื่น ๆ ของPlayStation นอกจากนี้สกินกระเป๋า สกินปืนต่าง ๆ แถมยังปลดล็อคสูตรโกงพวกกระสุนไม่จำกัด เป็นต้น มันเพิ่มความสนุกให้ผู้เล่นหลัง End Game ได้มากเลย มันยังสร้างแรงจูงใจให้อยากกลับไปเล่นอีกสักรอบด้วย สุดท้ายนี้คงจะเป็นถ้วยรางวัลที่เปลี่ยนไปจากเดิมและท้าทายกว่าเก่า
กราฟิกและประสิทธิภาพ
ส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเกม The Last of Us Part I คือ “กราฟิก” ต้องบอกเลยกราฟิกและแอนิเมชั่นเหมือนถูกยกเครื่องรื้อทำใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโมเดลตัวละคร ไปจนถึงฉากในเกมที่เปลี่ยนไปทั้งหมด ตัวกราฟิกทำออกมาได้ระดับเดียวกับ The Last of Us Part II ตัวละครมีความสมจริงมาก ๆ ทั้งหน้าและเส้นผม ผู้เขียนต้องยอมรับว่าตอนให้ภาพชุกแรกที่ปล่อยออกมาไม่ได้ชอบเอลลี่ลุคใหม่นะแต่ลกับชอบเอลลี่โมเดลต้นฉบับมากกว่า แต่เมื่อได้สัมผัสจริงผมขอเปลี่ยนใจผมชอบเอลลี่ในเวอร์ชั่นนี้มากดูสดใสและน่ารัก สีสันในเกมและแสงถูกปรับให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ฉากอย่างมหาวิทยาลัยในตอนเย็นดูไม่มืดเท่าต้นฉบับ แต่ให้แสงยามเย็นสมจริงกว่าเดิม หรือจะใช้ประโยชน์ของ Ray Tracing ในการสะท้อนวัตถุต่าง ๆ ให้ดูเหมือนจริงยิ่งขึ้น
ทางด้านฉากของเกมผู้เขียนกล้าพูดได้เลยว่าทุกฉากในเกมถูกพัฒนาและมีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ทั้งรูปแบบอาคารและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ไปจนถึงระดับเฟอร์นิเจอร์ที่มีการเปลี่ยนการจัดวางใหม่หมด หากเปิดเทียบฉากต่อฉากจะเห็นเลยว่ามันไม่เหมือนกัน ผู้เขียนเชื่อว่าทีมงานได้หมดเวลากับการ Rework ฉากและกราฟิกเหล่านี้ใหม่หมด เพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความแปลกใหม่ขณะเดียวกันเรื่องราวยังดำเนินเหมือนต้นฉบับ นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมจุดซ่อนวางของสะสมต่าง ๆ ในเวอร์ชั่นนี้ถึงเปลี่ยนไปจากเดิม
อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยโหมดถ่ายภาพที่สามารถปรับได้อย่างละเอียดเอาใจสายถ่ายรูปทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Filter ปรับสี/แสง ใส่โลโก้ ปรับขนาดภาพ ตัวเลือกทั้งหมดนี้อีกครั้งถูกยกเครื่องมาจากเกม The Last of Us Part II ทั้งสิ้น แต่ด้วยฉากที่เปลี่ยนไปของ The Last of Us Part I ผู้เขียนยอมรับว่าได้กดถ่ายภาพมากกว่า The Last of Us Part II เสียอีก
มาดูด้านประสิทธิภาพกันบ้างแน่นครับด้วยพลังของเครื่อง PS5 ทำให้ The Last of Us Part I ไม่มีหน้าโหลดขั้นกลางระหว่างเกมเพลย์เลย ผลคือการเปลี่ยนผ่านระหว่างฉากเกมเพลย์และฉากคัดซีนนั้นไร้รอยต่อ นอกจากนี้เกมได้ใส่โหมดกราฟิกมา 2 โหมดคือโหมดเน้นความละเอียดสูงจะล็อคเฟรมเรตอยู่ที่ 30 FPS และโหมดเน้นประสิทธิภาพจะแสดงผลความละเอียดเป็น upscale 4K และเฟรมเรตมที่ 60 FPS และพิเศษสุดคือยังมีตัวเลือกให้ “ปลดล็อค” เฟรมเรตด้วยนะซึ่งเกมจะสามารถรันเฟรมเรตได้สูงสุดถึง 120 FPS ถึงกระนั้นแล้วแค่ปกติก็ลื่นหัวแตกแล้ว
Verdict
โดยรวมแล้วถือว่า Naughty Dogs ได้นำเกม The Last of Us Part I ซึ่งเป็นเกมเก่าเนื้อเรื่องต้นฉบับแบบเดียวกับที่วางจำหน่ายในปี 2013 นำกลับมาเล่าใหม่ในฟอร์แมตที่ทันสมัยมากขึ้น กราฟิกสวยขึ้นระดับปัจจุบันและยังมีการลงแรงเพื่อเนรมิตฉากในเกมขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้มั่นใจว่าผู้เล่นจะได้รับประสบการณ์ใหม่ แม้ว่าผู้เล่นจะเคยเล่นมาแล้วนับไม่ด้วนก็ตาม ทว่าดูเหมือนทางทีมงานจะมุ่งเน้นไปในการ Rework ตัวแอนิเมชั่นและกราฟิกเป็นหลัก ทำให้ส่วนของระบบเกมเพลย์ไม่ได้ถูกปปรับปรุงเพิ่มเติมมากพอจนสามารถรับรู้ได้ตรงนี้ผู้เขียนแอบเสียดาย เพราะด้วยราคาวางจำหน่ายในราคาเต็ม 2,290 บาทผู้เขียนเองคาดหวังมากกราฟิกอันสวยงาม ท้ายที่สุดแล้วหากใครเป็นแฟนเกม The Last of Us ที่ต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศสมจริงและดีเทลเยอะขึ้น พร้อมกับคำบรรยายไทยช่วยให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ก็อย่ารอช้าเตรียมหาซื้อ The Last of Us Part I มาเล่นได้เลย
8.7/10
จุดเด่น (Pro)
- เนื้อเรื่องของเกมคงต้นฉบับเอาไว้ และยังสนุกเหมือนเดิม
- กราฟิกถูกยกเครื่องใหม่หมดตระการตาและสมจริง
- ฉากต่าง ๆ ทั้งหมดถูกทำขึ้นมาใหม่ มีการเปลี่ยนรูปแบบและตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์
- ด้วยประสิทธิภาพของ PS5 ทำให้ประสบการณ์ไร้รอยต่อเหมือนดูภาพยนตร์
- รองรับภาษาไทย
จุดสังเกต (Con)
- ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของระบบเกมเพลย์แต่อย่างใด
- แม้รองรับภาษาไทย แต่บางประโยคยังรู้สึกว่าแปลแปลก ๆ
- น่าจะรวม Left Behind ไว้กับเส้นเรื่องหลักเพื่อเสริมประสบการณ์
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณบริษัท PlayStation Asia
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ