เกม: Final Fantasy XVI
แพลตฟอร์ม : PS5 (Console Exclusive)
ภาษา:อังกฤษ
ราคา: 2,290 บาท
วันวางจำหน่าย: 22 มิถุนายน 2023
เป็นเวลาเกือบ 7 ปีหลัง Final Fantasy XV วางจำหน่ายซึ่งนับเป็นภาคที่รอคอยกันมาอย่างยาวนาน ทว่าก็เกิดกระแสติเนื้อเรื่องไม่สมบูรณ์จนต้องออก DLC มาเติมเต็มเนื้อเรื่องที่ขาดหายไป กลายเป็นบทเรียนให้แก่ค่าย Square Enix ไม่ใช่น้อย ล่าสุดท้ายค่ายพร้อมแล้วกับการวางจำหน่ายเกมภาคใหม่ล่าสุดกับ Final Fantasy XVI มุ่งเน้นเรื่องราวเข้มข้นและการันตีจบบริบูรณ์แบบไม่ต้องง้อ DLC มาพร้อมเกมเพลย์สไตล์ Action RPG แนวทางยุคใหม่ของซีรี่ส์ เกมจะสมการรอคอยหรือไม่? เรียนเชิญอ่านรีวิวได้เลย
**บทความรีวิวนี้เป็นบทความที่ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่อง รวมถึงตัวระบบเกมบางส่วน เพื่อให้แฟนๆ ได้รับประสบการณ์สูงสุดในการเล่น และตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสเกมนี้ครับ
เนื้อเรื่อง
ธีมเรื่องราวของเกม Final Fantasy XVI นี้กลับไปสู่รากเหง้าอีกครั้ง แทนที่เรื่องราวในยุคไซไฟและเทคโนโลยีแห่งอนาคตร่วมสมัยของ Final Fantasy XV โดยเกมจะมาในธีมโลกดาร์คแฟนตาซียุคกลางเกี่ยวกับคริสตัลเช่นเดียวกับเกม Final Fantasy ยุคเก่า ตัวเกมจะนำพาเราไปดินแดนวาลิสเธีย (Valisthea) ดินแดนที่ได้รับพรแห่งแสงจากมาเธอร์คริสตัล (Mothercrystal) เป็นภูเขาคริสตัลวาวเป็นประกายขนาดใหญ่มหึมาตั้งอยู่เหนืออาณาจักร ความเชื่อส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนเกี่ยวกับพลังของคริสตัลนี้ ทว่าความสุขกำลังสิ้นสุดลงกับการการรุกรานของ Blight ที่ต้องการทำลายอำนาจการปกครอง….
เรื่องราวและเหตุการณ์ในเกมถูกเล่าผ่านพระเอกภาคนี้ ไคลฟ์ รอสฟิลด์ (Clive Rosfield) หนึ่งในบุตรชายของกษัตริย์แห่งราชรัฐโรซาเรีย และด้วยความชำนาญด้านต่อสู่ของเขาจนได้สมญานามว่า “First Shield of Rosaria” เขาเหมาะสมมากที่จะได้สืบทอดเปลวไฟแห่งนกฟีนิกซ์หนึ่งในมนต์อสูรไอคอน (Eikons) ไอค่อนจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ร่างกายบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวซึ่งจะถูกเรียกว่า Dominants อย่างไรก็ตามกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อโชคชะตาได้เลือกโจชัว (Joshua) น้องชายของเขาเป็นโดมิแนนท์ของไอคอนฟีนิกส์ ไอคอนแห่งไฟ ทำให้ไคลฟ์มีหน้าที่และให้คำมั่นสัญญาจะปอกป้องโจชัวสุดชีวิต แต่โชคชะตาเล่นตลกกับเขาอีกครั้งเมื่อไคลฟ์จะต้องเผชิญกับโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่จนนำไปสู่เรื่องราวการแก้แค้นที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล….
ตัวเนื้อเรื่องเปิดมาได้สนุกและน่าติดตามตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรก การเล่าเรื่องในภาคนี้ค่อยเป็นค่อยไปเรื่องราวปูไปเรื่อย ๆ จนกินเวลามากกว่า 35 ชั่วโมงและยิ่งเล่นไปเท่าไรความเข้มข้นจะเริ่มทวีคูณ นี่คือสไตล์การเล่าเรื่องฉบับ Final Fantasy ไม่ว่าจะภาคไหนก็ทำได้ดีตลอด เสริมคือในภาคนี้ตัวละครสำคัญเยอะมาก และการใช้ภาษาในเกมค่อนข้างลึกซึ้ง ใครไม่แข็งภาษาอังกฤษอาจจับประเด็นสำคัญได้ยากสักหน่อย บางครั้งรู้สึกว่าพล็อตเหมือนจะคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เกิดพล็อตทวิสต์ที่คาดไม่ถึง สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้คือด้วยพลังของ PS5 ทำให้ฉากคัตซีนและเกมเพลย์ไร้รอยต่อไม่มีการโหลดขัดจังหวะอารมณ์เลย โดยรวมเนื้อเรื่องดีและสนุกกว่าภาคก่อนมาก
เกมเพลย์
ระบบการเล่นในภาคนี้ยังคงนำเสนอสไตล์ Action RPG ซึ่งเป็นแนวทางยุคใหม่ของซีรี่ส์ แม้สไตล์หลักจะเหมือนเดิมแต่ระบบการเล่นต่างจากภาคก่อนพอสมควร จากระบบเกมเพลย์ละเอียดยิบถูกตบ ๆ ลงมาให้เป็นเกมเพลย์ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน อย่างแรกคือตัวเกมไม่ใช่ Open-World เต็มตัวเหมือนภาคก่อน แต่เกมถูกออกแบบโดยแบ่งตามพื้นที่ที่เป็นอิสระ หมายความว่าไง? บนแผนที่ในเกมจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นอาณาจักร/เขต การเดินทางข้ามแต่ละอาณาจักรนั้นทำได้โดยการ Fast Travel เท่านั้น ไม่สามารถเดินจากอาณาจักรนึงไปอีกอาณาจักรได้ อย่างไรก็ตามในแต่ละอาณาจักรจะมีพื้นที่อิสระให้ผู้เล่นได้ตะลุยและเดินสำรวจ ผู้เขียนว่าทีมพัฒนามาถูกทางแล้ว แผนที่ไม่จำเป็นต้องใหญ่จนเสียเวลาเดินทาง แต่มีพื้นที่พอเหมาะอัดแน่นด้วยคอนเทนต์ดีกว่า
ด้วยขนาดแผนที่ที่ไม่ได้เป็น Open World เต็มตัวแล้วนั้นต้องแลกมาด้วยการตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไป (เพียบเลย) ภาคก่อนเราจะสามารถตั้งแคมป์ทำอาหาร ล่าวัตถุดิบ ตกปลา มินิเกมต่าง ๆ มากมาย กิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมดถูกตัดออกในภาคนี้ (ขอดีใจก่อนเลยไม่ต้องตั้งแคมป์เพื่ออัปเกรดค่าประสบการณ์แล้ว) โดยทางผู้พัฒนาตั้งใจมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเควสย่อย ๆ ให้ทำนะ เควสย่อยมีให้ทำเพียบโดยยังคงให้มันอยู่ในเส้นเรื่องหลักประคองไม่ให้ออกทะเลไป และเควสย่อยบางเควสก็จะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวและใช้ในการอัปเกรดทักษะบางอย่างของเรา นอกจากนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “Hun Board” อารมณ์เหมือน Bounty ออกไปหามอนสเตอร์ที่กำหนดและกำจัดทิ้งก็จะได้ค่าประสบการณ์และเงินเป็นค่าตอบแทน อื่น ๆ ก็จะมี “Arcade Mode” เพื่อ replay การต่อสู้กับบอสก่อน ๆ ที่ผ่านมาแล้วได้ การบาลานซ์กิจกรรมทำได้ดีและไม่ได้เยอะจนทำลายประสบการณ์ที่กำลังเสพ ณ ตอนนั้น
ระบบการต่อสู้ในเกมมีความแปลกใหม่ด้วยความที่มีไอคอน (Eikons) เข้ามาเกี่ยวด้วย นอกจากการเข้าโจมตีพื้นฐานแล้ว เราสามารถใช้ปุ่มคอมโบเพื่อใช้ท่าพิเศษของสัตว์อัญเชิญได้ซึ่งจะช่วยสร้างความเสียหายได้ดี การโจมตีทำงานกับการหลบหลีกโดยกด R1 หากกดตรงกับจังหวะการโจมตีของศัตรูก็สามารถสร้างคอมโบ Precision Dodge ได้ด้วย หรือจะกด R1 พร้อมสีเหลี่ยมจะเป็นการปัดการโจมตีศัตรู การจู่โจมและการหลบจะสามารถไปลดค่า “Will Gauge” (ค่ากำลังใจ) ยิ่งโจมตีคอมโบหรือสามารถหลบหลีกการโจมตีได้มากเท่าไหร่ก็จะสามารถลดค่า Will Gauge ได้มากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเกจนี้หมดลงศัตรูก็จะติดสตั๊นหยุดการเคลื่อนไหวหรือในสถานะ “Takedown” เราจะได้เปรียบสามารถสร้างคอมโบเสียหายเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสไตล์การเล่นแบบฉบับ Final Fantasy ก็ว่าได้
หัวใจหลักของระบบการต่อสู้ใน Final Fantasy XV คือความสามารถของสัตว์อัญเชิญซึ่งจะมีสูงสุด 3 ตัว (กว่าสกิลจะครบมือก็ปาไปเกือบครึ่งเกมแล้ว) เราสามารถกดสลับระหว่างสัตว์อัญเชิญได้อย่างรวดเร็วผ่านปุ่ม L2 ระบบก็จะเปลี่ยนสกิลเซ็ทไปตามสัตว์อัญเชิญที่เลือก แน่นอนเพื่อให้ระบบการต่อสู้สมดุล การใช้งานท่าพิเศษจะมีการติดคูลดาวน์ (สามารถใส่เครื่องประดับเพื่อลดดูลดาวน์ได้) สกิลสัตว์อัญเชิญก็สามารถอัปเกรดได้ผ่านการสะสมคะแนนค่าประสบการณ์ สกิลทรีในกาคนี้ไม่ได้ซับซ้อนเท่าภาคก่อน แต่ละสกิลส่วนใหญ่ใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องกดใช้คะแนนค่าประสบการณ์เพื่อเรียนรู้สกิล แต่คะแนนค่าประสบการณ์จะเสียไปกับการอัปเกรดสกิลที่มีอยู่แล้วให้มีพลังความเสียหายมากขึ้น
นอกจากการใช้ความสามารถของสัตว์อัญเชิญแล้วตัวเกมมี Limit Brake Gauge เกจที่สามารถสะสมจากการโจมและป้องกัน เมื่อเกจเต็มเราสามารถกด L3 + R3 เพื่อใช้งาน ในช่วง Limit Brake พลังโจมตีและป้องกันของไคล์ฟจะเพิ่มขึ้นนั่นเอง และแน่นอนในช่วงใดช่วงนึงเมื่อ Dominants มาเผชิญหน้ากัน เราจะได้เล่นเป็นไอคอน (สัตว์อัญเชิญ) การปะทะนี้เป็นจุดที่ระบบการต่อสู้ผสมผสานกับฉากแอคชั่นสุดมันส์ได้อย่างลงตัวแบบไม่มีที่ติ ตอนเราเล่นเป็นไอคอนนั้นก็จะมีสกิลเซ็ทอีกแบบ แต่น่าเสียดายที่สกิลเซ็ทของสัตว์อัญเชิญอัปเกรดไม่ได้
ระบบการต่อสู้สุดท้ายคือ Quick Time Event ระบบที่เราต้องใช้สติช่วงฉากคัตซีนเพื่อกดปุ่มแอคชั่นตามเวลาที่กำหนด ด้วยความที่เกมไม่มีหน้าโหลดคั่นกลางเลย การสลับฉากเกมเพลย์และคัตซีนไม่มี ทำให้ QTE มันไร้ที่ติมากมันต่อเนื่อง โคตรมันส์และเดือดมาก!!
ระบบการต่อสู้ภาคนี้เรียบง่ายและเข้าใจง่าย แต่สกิลไม่ได้หลากหลายมากนัก และด้วยความที่สกิลน้อย มันไม่ได้มีแรงผลักดันให้ไปฟาร์มเพื่อสะสมคะแนนค่าประสบการณ์เพื่อมาอัปเกรดสกิล เพราะสกิลที่ติดมา + กับสกิลที่ใหม่ที่เรียนรู้เพิ่มแค่ 2-3 สกิลก็เพียงพอที่จะเล่นจนจบเกมได้แล้ว อาวุธและเกราะป้องกันต่าง ๆ ไม่ได้หลากหลาย ตัวเครื่องประดับเสริมสกิลมีให้เลือกไม่มากทำให้เงินเหลือเยอะไม่ได้เอาไปใช้อะไร ถึงกระนั่นแล้วจะเป็นส่วนสำคัญจะใช้ช่วง Endgame หลังเล่นเนื้อเรื่องจบ ซึ่งถ้าหากจะเก็บให้เคลียร์ 100% จะกินเวลาการเล่นเกิน 70 ชั่วโมง
อีกหนึ่งข้อสังเกตภาคนี้บังคับได้เพียง 1 ตัวละครเท่านั้น ส่วนสมาชิกร่วม Party อื่น ๆ AI เป็นคนบังคับหมด และ Party จะเปลี่ยนตามเนื้อเรื่อง ระบบสกิลและอาวุธในภาคนี้ผู้เขียนมองว่ายังไม่สมดุลและดูขาดอะไรบางอย่างไป อย่างไรก็ตามนอกหนือจากนั้นถือว่าผู้พัฒนาตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไปเหลือไว้แต่เนื้อ ๆ โดยรวมถือว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายจาก RPG เป็น Action RPG ที่สมบูรณ์
กราฟิกและประสิทธิภาพ
Final Fantasy XV นำเสนอกราฟิกออกมาได้อลังการงานสร้าง ทั้งแสงสีลงไปถึงรายละเอียดของผิวและเส้นผมพลิ้วไหวตามสายลมทำออกมาได้ดีมาก ๆ บางครั้งแยกไม่ออกระหว่างฉากคัตซีนกับเกมเพลย์ เพราะทุกอย่างมัน “Seemless” (ไร้รอยต่อ) สุด ๆ แต่ก็มีบางพื้นที่นะที่รู้สึกว่าเออมันน่าจะสวยได้กว่านี้แต่ก็ต้องเห็นใจนักพัฒนาถึงความใหญ่ของแผนที่ในเกม
หากใครคิดว่าเกมนี้ไม่มีโหมดถ่ายภาพคือคิดผิด!! เกมนี้มีโหมดถ่ายภาพแต่มันถูกซ่อนจนแทบจะหาไม่เจอ โหมดนี้จะอยู่ในเมนู Pause และต้องไปที่หน้า “Attributes” ด้วยนะถึงจะกดเปิดใช้งานได้ อันนี้แปลกมากปกติโหมดถ่ายภาพจะต้องกดเข้าได้ง่าย ๆ และโหมดถ่ายภาพนี้จะเปิดใช้งานได้เฉพาะบางจังหวะด้วยนะ ฉากคัตซีนใช้ไม่ได้ โหมดถ่ายภาพนี้ก็จะคล้ายเกมอื่น ๆ ปรับมุมกล้อง ปรับฟิลเตอร์ได้ แต่อาจจะไม่ละเอียดเท่าเกม 1st Party ของโซนี่
เพลงประกอบในเกมยังคงเป็นจุดเด่นของซีรี่ส์ Final Fantasy ช่วยให้ความรู้สึกเกมดูอลังการ มีการเลือกโทนและจังหวะเพลงได้เหมาะกับสถานการณ์โดยเฉพาะตอนไอคอนปะทะกันบอกได้คำเดียวว่าโคตรมันส์ เพลงประกอบในเกมมีเพียบจริง เราสามารถซื้อเพลงเพิ่มในเกมได้นะแล้วแต่ละเพลงบอกเลยว่าไม่ถูกนะจ๊ะ
ประสิทธิภาพในเกมมีบางฉากเท่านั้นที่รู้สึกว่าเฟรมเรตตกไป อย่างไรก็ตามหากพูดถึงบั๊คอื่น ๆ ผู้เขียนกล้าพูดได้เลยว่าเป็นเกมที่นิ่งมาก ๆ ไม่เจอบั๊คเลยถือว่าทางผู้พัฒนาขัดเกลาเกมมาได้เป็นอย่างดี ส่วนการที่เกมไม่มีหน้าโหลดคั่นกลางนั้นแน่นอนมันต้องแลกมาพร้อมกับการที่ผู้เล่นอย่างเราจะต้องตะแคงตัวผ่านรอยแยก หรือการขึ้นลงลิฟท์แทนคั่นหน้าโหลด จะกลายเป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน
Verdict
Final Fantasy XVI สามารถสื่อสารเรื่องราวดาร์คแฟนตาซียุคกลางออกมาได้สนุกและลุ้นจนถึงฉากสุดท้ายของเกม การสื่อสารตรงนี้ถูกแสดงผลบนกราฟิกอันสวยงามตระการตา ตัวเกมเพลย์นำเสนอรูปแบบ Action RPG เป็นแนวที่ทางซีรี่ย์จะเดินไปในอนาคต การตัดกิจกรรมและระบบที่ไม่ได้จำเป็นจากภาคก่อนออกหมดเกลี้ยงเรียกว่าเอาแต่เนื้อ ๆ มา ทว่าบางที่มีแต่เนื้อมันแห้งไปกับสกิลทรีและระบบอาวุธไม่หลากหลาย ทั้งนี้ทางทีมพัฒนาสามารถคงกลิ่นอายและไม่ทิ้งความเป็น Final Fantasy ท้ายสุดเกมสนุกและมันส์มากแฟนซีรี่ส์ Final Fantasy ไม่ควรพลาด
9/10
จุดเด่น (Pro)
- เรื่องราวสนุกและลุ้นมาก ๆ เต็มอิ่มกับแอคชั่น
- เกมเพลย์ที่โฟกัสกับระบบหลักจริง ๆ ตัดกิจกรรมไม่จำเป็นออก
- กราฟิกสวยงามและเพลงประกอบไพเราะ
จุดสังเกต (Con)
- สกิลทรีและระบบอาวุธไม่หลากหลาย
- การเข้าถึงโหมดถ่ายภาพยากไปหน่อย และใช้ไม่ได้ทุกจังหวะ
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณบริษัท PlayStation Asia
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ