เกม: Marvel’s spider man 2
แพลตฟอร์ม : PS5
ภาษา: ไทย
ราคา: 2,290 บาท
วันวางจำหน่าย: 20 ตุลาคม 2023
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 โซนี่และ Insomniac Games ได้เปิดประตูให้ Marvel ก้าวมาสู่โลกแห่งวิดีโอเกมอย่างเป็นทางการ กับเกม Marvel’s spider man ผลคือเกมเป็นใบเบิกทางชั้นดี ทำให้ Marvel ได้ร่วมกับบริษัทพัฒนาเกมหลายค่าย จนสร้างผลงานเกมซูเปอร์ฮีโร่มากมาย แต่ก็ยังไม่มีค่ายใดจะสามารถสร้างเกมได้ประทับใจเท่ากับ Insomniac Games อีกแล้ว และปีนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับภาคต่อของเกมไอ้แมงมุมกับ Marvel’s spider man 2 ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของการนำสไปเดอร์แมนทั้ง 2 คนมาอยู่ด้วยกันในเกมเดียวกัน ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับวายร้ายตัวฉกาจทั้ง เวน่อม และคราเวน เดอะ ฮันเตอร์ จะสนุกสุดมันส์ขนาดไหน สามารถสานต่อความสำเร็จจากภาคแรกได้หรือไม่ เรียนเชิญอ่านรีวิวได้เลย
**บทความรีวิวนี้เป็นบทความที่ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่อง รวมถึงตัวระบบเกมบางส่วน เพื่อให้แฟนๆ ได้รับประสบการณ์สูงสุดในการเล่น และตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสเกมนี้ครับ
เนื้อเรื่อง
Marvel’s spider man 2 เป็นเหตุการณ์ 9 เดือนหลังจาก Marvel’s Spider-Man: Miles Morales (ไปติดตามเอาเองนะ) การดำเนินเนื้อเรื่องในภาคสองนี้เข้มข้นตั้งแต่ฉากแรก ไม่ได้รอปูทางเหมือนภาคก่อน จับเราเข้ามาสู่ฉากเปิดแอ็คชั่นกันเลย ความพิเศษที่ทำให้รู้สึกต่างจากภาคก่อนแม้เพิ่งเริ่มเกมเลยคือ ในภาคนี้เราสามารถเล่นเป็นสไปเดอร์แมนทั้ง 2 คน ไม่ว่าจะเป็นปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือไมลส์ โมราเลส ซึ่งเป็นเรื่องดี ทว่าความท้าทายตกอยู่ในมือทีมนักพัฒนา พวกเขาจะทำอย่างไรเพื่อนำเสนอเรื่องราวในเกมซึ่งมีฮีโร่โดดเด่นทั้งสองคนออกมาสมดุล โดยต้องไม่ให้สไปเดอร์แมนคนใดคนนึงดูโดดเด่นจนไปกลบกันเอง ผลคือทางทีมงานวางโครงเรื่องได้ดีมาก ๆ เริ่มจากการปูทางเนื้อเรื่องหลักสู่วายร้ายคนใหม่ในภาคนี้อย่าง คราเวน เดอะ ฮันเตอร์ ต่อมาตัวเกมเริ่มเล่าเรื่องแตกไทม์ไลน์ออกเป็นเรื่องราวในมุมปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ และไมลส์ โมราเลส แยกกัน
ในเรื่องราวปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ นำเสนอชีวิตของปีเตอร์หลังเหตุการณ์ในภาคแรก กับการหางานทำใหม่ จนกระทั่งได้มาพบกับเพื่อนรักคนสำคัญ แฮร์รี่ ออสบอร์น แน่นอนการปูทางตรงนี้นำไปสู่เรื่องราวสุดเข้มข้นในภายหลัง
ขณะเดียวกันในมุมของไมลส์ โมราเลส เด็กหนุ่มกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย และยังจมอยู่กับอดีตที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นในตัว Mr. Negative วายร้ายที่ฆ่าพ่อของเขาจนต้องจบชีวิตลง เนื้อเรื่องของไมลส์ก็จะนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญ แล้วจะสาวไปถึงคราเวนนั่นเอง
ทีมพัฒนาแตกไทม์ไลน์เรื่องราวออกไป แต่สุดท้ายแล้วนำเส้นไทม์ไลน์ทั้งสองมาบรรจบกันได้แบบไร้รอยต่อ ทำให้ไม่ได้รู้สึกว่าปีเตอร์ เด่นกว่าไมลส์ ขณะฉากที่ต้องสู้กับวายร้ายยังมีการแบ่งพาร์ทให้บังคับปีเตอร์บ้าง บังคับไมลส์บ้าง นักพัฒนาสามารถวางโครงเรื่องออกมาได้สมดุลและลงตัวมาก ๆ ชื่นชมจริง ๆ ที่สำคัญเรื่องราวในภาคสองดาร์กและน่าติดตามกว่าภาคแรกมาก ๆ มีการหยิบยกตัวละครต่าง ๆ มาใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด มีการใส่ Easter Egg ตัวละคร Marvel ตัวอื่น ๆ เข้ามามีบทบาทในเรื่องด้วย แฟน Marvel ถูกใจสิ่งนี้แน่นอน พอถึงจุดนึงถ้าคุณคิดว่ามันพีคแล้ว มันยังไม่หมดหรอก มันมีพีคในพีคอีก
สิ่งที่จะไม่พูดไม่ได้ในหัวข้อนี้คือ Quick Time Event (QTE) ในเกมนี้ ผู้เขียนบอกเลยว่าเป็นเกมที่วางจังหวะ QTE ได้ดีที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาเลย ยิ่งเมื่อสไปเดอร์แมนอยู่ใน QTE ร่วมกันแล้ว บอกเลยว่าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ~ฟิน
ส่วนเรื่องภาษาไทยในเกม เมื่อเป็นเกมโซนี่แล้วก็ไม่ผิดหวัง รอบนี้แปลออกมาได้ดีมาก ไม่มีคำแปลก ๆ เหมือนเกมอื่น ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าภาษาในเกมอิงยุคปัจจุบัน และไม่ได้ใช้คำซับซ้อน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังติดอยู่เรื่องเดิมเลยคือ ขนาดตัวอักษรภาษาไทยเล็กมาก แม้ผู้เขียนจะลองปรับเป็นขนาดใหญ่สุดก็ยังเล็กมากอยู่ดี
เกมเพลย์
ก่อนจะเข้าถึงระบบการเล่นหลักของตัวเกม ต้องบอกก่อนเลยว่าแผนที่ในเกมใหญ่กว่าเดิม 2 เท่า นอกจากแมนฮัตตันที่อยู่ในเกมภาคแรกแล้วนั้น ในรอบนี้ทางผู้พัฒนาได้เพิ่มพื้นที่บรุกลิน และควีนส์ โดยจะถูกเชื่อมกันโดยสะพานตัดผ่านแม่น้ำตรงกลาง แผนที่ใหญ่จนทำให้สำรวจแทบจะไม่หมดเลย จุดนี้ได้ทลายข้อจำกัดของเกมภาคแรกลงไปแล้วหนึ่ง และอีกจุดคือ สไปเดอร์แมนภาคนี้ว่ายน้ำได้แล้วนะเออ ตกน้ำก็สามารถว่ายน้ำไปยังฝั่งแมนฮัตตัน หรือบรุกลิน และควีนส์ได้แล้ว
ด้วยความที่แผนที่กว้างขึ้น การที่จะเดินทางข้ามฝั่งระหว่างพื้นที่นั้น แน่นอนมันมีข้อจำกัดหากจะต้องชักใยไปตามสะพาน มันก็พอได้นะแต่มันจะทำให้ประสบการณ์ไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นทีมพัฒนาเขาคิดวิธีแก้ปัญหาตรงนี้มาแล้ว คือความสามารถใหญ่เรียกว่า “เว็บวิงส์” หรือมันมาจาก “วิงสูท ฟลายอิ้ง” คือการบินผ่านอากาศ การจะเดินทางเว็บวิงส์ได้นั้นต้องอาศัยกระแสลม ซึ่งมันจะปรากฏอยู่ในเกม กระแสลมมักจะอยู่ตามแถบสะพานระหว่างเขต ข้อดีคือยิ่งใช้เว็บวิงส์ตามกระแสลม จะยิ่งเดินทางเร็ว ถ้าไม่มีลมมันก็จะตก เพื่อความสมดุลมันก็ใช้ไม่ได้ทุกทีแหละ ต้องสลับชักใยบ้าง เว็บวิงส์บ้าง แต่ถือว่าเพิ่มวิธีการเดินทางใหม่สะดวกดี และนักพัฒนายังอาศัยประโยชน์ของเว็บวิงส์ มาต่อยอดเป็นภารกิจเสริม และภารกิจหลักในเกม
ไหน ๆ ก็พูดถึงการเดินทางแล้ว ขออีกสักหน่อยเรื่อง Fast Travel ในภาคแรกการ Fast Travel มันจะถูกคั่นด้วยฉากการนั่งรถไฟใต้ดินเนอะ แต่ในภาค 2 นี้ผู้เขียนว่ามันเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกมเลยนะ สมมติเราปลดล็อค Fast Travel เขตแมนฮัตตันได้ แล้วเราอยากจะเดินทางด่วนมายังตรง Time Square เลย ง่าย ๆ เราก็แค่เอาลูกศรไปจิ้มตรง Time Square กดสามเหลี่ยม สักพักไม่ถึงเสี้ยววินาที จะมีภาพแอนิเมชั่นสไปเดอร์แมนมาตรง Time Square คือมันไร้รอยต่อเลย ไม่ต้องรอ แถมโคตร smooth
ทางด้านระบบการต่อสู้ในเกม แวบแรกมันดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ไม่ใ่ช่ครับ ระบบต่อสู้เปลี่ยนไปพอสมควรโดยเฉพาะการปรับแต่งความสามารถของชุดในภาคแรก เราจะสามารถเลือกพลังของชุด และใส่สิ่งที่เรียกว่า “suit mods” เป็นเหมือน passive skills ได้ทั้งหมด 3 ช่อง เราสามารถเลือกเองได้ ทั้งหมดนี้ถูกแทนที่ด้วย “เทคโนโลยีของชุด” ในภาค 2 นี้ไม่มี suit mods ให้เราเลือกปรับแต่ง เลือก passive skills อีกแล้ว แต่จะมี passive skills ฝังมาให้อยู่แล้วทั้งหมด 4 ความสามารถได้แก่ พลังชีวิต ความเสียหาย สมาธิ และการเดินทาง ทั้งหมดนี้ปรับแต่งไม่ได้ อัปเกรดได้อย่างเดียว อาจจะทำให้อิสระในการปรับแต่งตรงนี้หายไป
ตัวชุดสไปเดอร์แมนเองถูกแยกมาอีกเมนู เมนูชุดนี้ไม่ได้เพิ่มพลังพิเศษให้กับตัวสไปเดอร์แมนเองนะ การคราฟต์และปลดล็อคชุดในภาค 2 นี้สำหรับความสวยงามล้วน ๆ สิ่งที่ทำให้ชุดแตกต่างจากภาคแรกคือ ตัวเกมมีชุดให้ปลดล็อคเยอะมาก ๆ และในหนึ่งชุดสามารถคราฟต์สไตล์เป็นสีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด 3 แบบด้วย ทั้งเกมมีชุดให้เราสะสมจุก ๆ กว่า 65 ชุด แค่น่าเสียดายตรงที่ชุดไม่มีผลอะไรต่อการเล่น ต่างจากภาคแรกที่แต่ละชุดมันจะมีค่าพลังแตกต่างกันไป ก็คือตัด Suit Power ออกไปนั่นเอง
ระบบต่อสู้ที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ “Spider Sense” ระบบจะแสดงวงกลมสีเหลือง แดง ในจังหวะที่ศัตรูใช้ท่าพิเศษ/หรือกำลังจะโจมตีหนักใส่ เราก็สามารภกดหลบได้ หรือกด “ปัดป้อง” (Perry) เพื่อสวนกลับทันที การปัดป้องอ่จจะไม่ดุเดือดเท่าเกม RPG ที่เอาจริงเอาจัง แต่มันเป็นคีย์สำคัญในการเอาชนะคู่ต่อสู้นะ ผู้เขียนคิดว่าการใส่ระบบนี้เข้ามาเพื่อให้ระบบการต่อสู้ครบเครื่องมากขึ้น
มาด้านแกดเจ็ตบ้าง อีกครั้งแกดเจ็ตในภาคนี้โดนตัดจาก 8 เหลือเพียง 5 เท่านั้น ได้แก่ เครื่องยิงใย อัปช็อต เว็บแกร็บเตอร์ โซนิคเบิร์สต์ และรีโคเชเว็บ ตัวแกดเจ็ตแต่ละประเภทอัปเกรดได้สูงสุด 5 ระดับ การลดแกดเจ็ตจาก 8 เหลือ 5 ปัจจัยนึงอาจเป็นเพราะ ทางทีมพัฒนาได้เปลี่ยนวิธีการใช้งานแกดเจ็ต จากการกด L1 ค้างแล้วเลือกแกดเจ็ต ไปเป็นการกด R1 ค้างตามด้วยปุ่ม action (โอ เอ็กซ์ สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม) ที่แกดเจ็ตถูก Assign ไว้ ทำให้การโจมตีมทำได้รวดเร็ว กระชับ และต่อเนื่องขึ้น
สิ่งที่มาแทน suit mods และ suit power คือ “ความสามารถ” สไปเดอร์แมนแต่ละคนจะมีความสามารถทั้งหมดคนละ 2 ประเภท เช่น ปีเตอร์จะมีซิมไบโอต และแขนแมงมุมไฟฟ้า ไมลส์จะเป็นพลังไฟฟ้า และพลังใหม่อันนี้ไปลุ้นกันเอง ผู้เล่นอย่างเราสามารถสลับเปลี่ยนสกิล/ความสามารถแต่ละท่าที่ตัวเองต้องการจะใช้ได้ วิธีใช้คลาย ๆ กับแกดเจ็ต คือกด L1 ค้างตามด้วยปุ่ม action (โอ เอ็กซ์ สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม) ตามความสามารถที่ต้องการจะใช้
ทั้งความสามารถและแกดเจ็ต มีกรอบเวลาที่ต้องรอ cool down การถอด suit mods แทนที่ด้วยระบบความสามารถใหม่ ผู้เขียนเชื่อว่าแล้วแต่คนชอบ ถ้าคนชอบอิสระชอบปรับแต่ง ถอดเข้าถอดออกไอเทมอาจจะไม่ชอบกับกรอบที่ Insomniac วางไว้ในภาค 2 เพื่อแลกกับความสามารถใหม่ ๆ สำหรับการใช้งานความสามารถต่าง ๆ ส่วนตัวผู้เขียนชอบ มันสร้างความเสียหายได้มาก ผสมผสานกับการใช้แกดเจ็ตถือว่าไม่เลว แต่แค่รู้สึกว่าความหลากหลายมันลดน้อยลงจากภาคแรก
มาพูดถึงการสลับสไปเดอร์แมนกันบ้าง แม้ตัวเกมจะมีให้สลับเล่นระหว่างสไปเดอร์แมนทั้ง 2 คนก็ตาม แต่ระหว่างเกมเพลย์ที่ในฉากมีสไปเดอร์แมน 2 คน เราไม่สามารถสลับตรงจุดนั้นได้ เราจะสามารถสลับตัวก่อนเข้าภารกิจเท่านั้น และจะต้องเป็นภารกิจที่รองรับให้เล่นเป็นใครก็ได้ด้วยนะ การสลับแต่ละรอบอาจจะสร้างความแตกต่างในเชิงความสามารถแตกต่างกัน สไตล์การโจมตีก็จะคนละแบบ มันจะถึงจุดนึงคือ “ขี้เกียจสลับ” อารมณ์แบบอยู่ตัวล่ะ ใช้ปีเตอร์นี่แหละไปเก็บภารกิจที่ไม่ได้เจาะจงให้ครบ แล้วค่อยสลับทีเดียว กลายเป็นว่าเรื่องราวของไมลส์ไม่ต่อเนื่อง พอสลับมาที่ไมลส์จะมีความรู้สึกนิดหน่อยว่า “ถึงไหนแล้วนะ”
ทางด้าน Skill Tree รอบนี้มีทั้งสกิลแยก และสกิลเดี่ยว ส่วนนี้ผู้เขียนคิดว่าทำออกมาได้สมดุลใช้ได้แล้ว การจะอัปเกรดสกิลให้ครบนั้น ต้องเล่นถึงเลเวลสูงสุดคือ 60 ซึ่งเกมมันมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมาก เลเวล 60 แปปเดียวก็ถึงแล้ว ภารกิจเสริมมีให้ทำมากมาย มีทั้งภารกิจที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องตรง ๆ และภารกิจแวดล้อม แต่ละภารกิจไม่จำเจเท่าภาคแรก ยังมีความสนุกและเรื่องราวไม่แพ้ภารกิจหลักเลย ทำเพลิน ๆ ไม่นานก็เคลียร์ได้ครบ สามารถเคลียร์เกมครบ 100% ภายในเวลา 30 ชั่วโมง ทางด้านพวกอาชญากรรมในภาคนี้ไม่ได้มีผลเท่าภาคแรก เพียงแต่มีไว้เพื่อให้ผู้เล่นฟาร์ม Token มาสะสมปลดล็อคพวกชุดต่าง ๆ ถึงกระนั้นแล้วหากทำกิจกรรมครบทั้งหมด จะมี Token เหลือเพียบ แม้จะอัปเกรดทุกอย่างแล้วก็ตาม
ระบบการเข้าถึงในตัวเกมนี้ออกแบบมาได้ละเอียดและตอบโจทย์มาก ๆ เช่นการลดความเร็วของเกมลง เหมาะสำหรับพวกฉากไล่ล่าเร็ว ๆ สำหรับคนที่ไล่ล่าไม่เก่ง หัวร้อนง่าย ลองปรับความเร็วของเกมลงในฉากเหล่านี้ดู คุณจะสนุกกับเกมขึ้นมาก หรือใครที่ชอบความท้าทายก็ลงปิด Fall Damage ดูครับ กรณีตกจากที่สูงพลังชีวิตก็ลดลงด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลืออย่างอื่นมากมาย ตรงกับคอนเซ็ปต์ “Be Great Together” เลย
ข้อเสียที่ยังพบจากเกมแรกคือ ระบบช่วงเวลายังคงไม่เป็นแบบ Dynamic ตัวช่วงเวลายังคงเป็นการ Fixed ตามเหตุการณ์ของภารกิจต่าง ๆ ไว้เท่านั้น ทำให้เวลาเราเคลียร์เนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเสริมหมดแล้ว เหลือไว้เพียงภารกิจย่อย ๆ เวลาในเกมก็จะถูก Fixed เป็นกลางวันเสมอ ตรงนี้น่าเสียดายที่เรายังไม่เห็นระบบเวลาที่เป็น Dynamic ในภาคนี้
กราฟิก และประสิทธิภาพ
ขึ้นชื่อว่าเป็นค่ายในเครือ PlayStation Studio เรื่องกราฟิกไว้ใจได้เลย ตัวเกมได้ยกระดับกราฟิกให้สวยงามไปอีกขั้น โดยเฉพาะการเล่นแสง เงา การตกกระทบต่าง ๆ ล้วนดูสมจริง สีสันของเกมสดใส ไฟนีออนสว่างไสวทั่วนครนิวยอร์กได้อย่างสวยงาม ทางด้านรายละเอียดตัวละครก็ดูดีขึ้นเช่นกัน ทั้งปีเตอร์ ไมลส์ต่างมีพื้นผิวดีขึ้น ผมเห็นเป็นเส้น และแววตาสมจริง ส่วนองค์ประกอบโดยรวมเรียกได้ว่ารอบนี้นครนิวยอร์กอัดแน่นด้วยผู้คน รถยนต์มากมาย จะเห็นได้ถึงผู้คนทำกิจวัตรประจําวันของตนเอง ละเอียดสุด ๆ
ทางด้านประสิทธิภาพ ต้องบอกเลยว่าเกมลื่นไหลมาก ๆ (ผู้เขียนเล่นโหมด Fidelity ตัวเกมนำเสนอ 3 โหมด ทั้งสามโหมดนี้จะเปิด Ray-Tracing ไว้ทั้งหมด และรองรับ 120 Hz รวมถึง VRR ด้วยนะ ) และย้ำว่าไม่มีฉากโหลดคั่นกลางเลย ทุกอย่างต่อเนื่องไปหมด ราวกับว่าทางผู้พัฒนาได้ดึงศักยภาพ PS5 ทั้งหมดออกมาใช้ ทั้งการไร้หน้าโหลด ทั้งการนำเสนอ Ray-Tracing ออกมาได้ดี การนำลูกเล่น DualSense มาใช้ประโยชน์ซะคุ้มเลย ยังไม่รวมงานเพลงประกอบอีกนะ ทั้งหมดนี้ถือว่า Insomniac Games สอบผ่านในแง่ประสิทธิภาพในทุกด้านไปเลย
Verdict
Marvel’s spider man 2 สามารถต่อยอดความสำเร็จภาคแรกได้สำเร็จ ผู้เขียนยังยกให้เป็นเกม Marvel ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในยุคนี้ ด้วยเนื้อเรื่องเข้มข้น ดาร์ก และน่าติดตามจนวินาทีสุดท้าย สร้างสรรค์ออกมาบนกราฟิกสวยงาม บนเครื่องเกมที่ทรงพลังจนตัดหน้าโหลดออกไป ผนวกกับเกมเพลย์สุดมันส์สลับระหว่างสไปเดอร์แมนทั้ง 2 ที่มีสกิลและสไตล์แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีบางอย่างถูกตัดออก หรือบางอย่างที่ไม่ได้ถูกปรับปรุงจากเกมภาคแรก แต่ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดรวมกัน มันกลายเป็นเกมที่ใครเป็นแฟนเกม Marvel หรือใครเป็นชาว PlayStation ไม่ควรพลาด
8.7/10
จุดเด่น (Pro)
- เนื้อเรื่องโคตรดี ดาร์ก น่าติดตามจนฉากสุดท้าย
- งานกราฟิกอลังการมาก
- สลับการเล่นระหว่างสไปเดอร์แมนทั้ง 2 สร้างความแตกต่างระหว่างสองสไตล์การเล่น
- ระบบ QTE และ Fast Travel สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการเกม
จุดสังเกต (Con)
- ตัดระบบ Suit mods ออกกลายเป็นว่าลดสไตล์การต่อสู้ลง
- ตัวชุดไม่มี passive ability (suit power) แล้ว ใส่เพื่อความเท่ล้วน ๆ
- ระบบเวลายังคงไม่เป็น Dynamic เช่นเดียวกับภาคแรก
- บั๊คเพียบ (มี Update วันแรกเพื่อแก้ไข)
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณบริษัท PlayStation Asia
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ