เกมส์ : Assassins’s Creed Odyssey
แพลตฟอร์ม : PlayStation 4, Xbox One, Nintendo Switch (Cloud) และ PC
ราคา: 1,890 บาท
วันวางจำหน่าย: 05 ตุลาคม 2018
Assassins’s Creed Odyssey เป็นเกมภาคล่าสุดจากซีรี่ย์ Assassins’s Creed ที่ทุกคนคุ้นหูกันดีครับ นักวิจารณ์และแฟนๆ เกมภาคนี้ให้ความหวังกับภาคนี้เป็นอย่างมาก เพราะเกมได้เดินหน้าไปสู่แนว RPG มากขึ้น ด้วยระบบปรับแต่งตัวละคร, ระบบอาวุธและเครื่องแต่งกาย รวมไปถึงระบบสกิลที่ออกแบบมาละเอียด ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเล่นตามแบบฉบับของตัวเองมากขึ้น ผสมผสานกับเรื่องราวในช่วงศึกสงคราวมของกรีซผู้เล่นจะสามารถเลือฝ่ายสงคราม และสามารถกำหนดทิศทางของเรื่องได้ พร้อมทั้งเดินทางสำรวจไปในโลกอิสระอันสวยงามและกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาจนได้ขนานนามว่าเป็นเกม Assassins’s Creed ที่ดีที่สุดของซีรี่ย์ และนี่คือรีวิวเกม Assassins’s Creed Odyssey ศึกมหาสงครามในตำนานของกรีซ
เนื้อเรื่อง
ก่อนที่จะมาพูดถึงเนื้อเรื่องของเกม Assassins’s Creed Odyssey ทางผู้เขียนต้องเรียนก่อนว่าความพิเศษของภาคนี้คือผู้เล่นสามารถเลือกตัวละครที่จะเล่นได้ด้วยครับ ผู้เล่นจะต้องเลือกระหว่าง อเล็กซิออส (Alexios) ตัวละครชายหรือ คาซานดร้า (Kassandra) ตัวละครหญิงครับ ไม่ว่าผู้เล่นจะเลือกตัวละครไหนเนื้อเรื่องก็จะดำเนินเหมือนกันครับผม
Assassins’s Creed Odyssey จะเป็นเรื่องราวที่ต่อจาก Assassins’s Creed ภาค Origins ซึ่งเนื้อเรื่องยังคงเล่าถึง เลย์ล่า ฮัซซัน (Layla Hassan) ตัวละครจากภาค Origins เธอเป็นอดีตลูกจ้างบริษัท Abstergo Industries จำกัด เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ เลย์ล่า ฮัซซัน ได้ไปพบงานเขียนที่ชื่อ Herodotus of Alexios (หรือหากเลือกเล่นเป็นคาซานดร้า ตัวละครเอกจะเล่าถึงคาซานดร้าแทนครับ ซึ่งอเล็กซิออสจะกลายเป็นตัวประกอบแทน) หนึ่งในสมบัติของชาวไอสุ ซึ่งเลย์ล่าได้สืบค้นจนพบสถานที่ ที่ฝัง “หอกแห่งลีโอไนดัส” และเธอได้นำหอกนี้มาเชื่อมกับเครื่อง Animus เพื่อใช้เป็นกุญแจในการเข้าไปยังความทรงจำของอเล็กซิออส จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของศึกสงความประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่าง Sparta (สปาต้า) และ Athens (เอเธนส์) ครับ
แม้ว่าโครงเรื่องของเกม Assassins’s Creed Odyssey จะคล้ายๆ กับภาคก่อน แต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้นำเสนอเกมที่มีความเป็น RPG มากขึ้น โดยการเพิ่มระบบการโต้ตอบบทสนทนาเข้ามา ซึ่งนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของซีรี่ย์ก็ว่าได้ครับ ด้วยระบบการโต้ตอบบทสนทนานี้ จะทำให้เนื้อเรื่องของเกมเปลี่ยนไปได้ไม่มากก็น้อยขึ้นอยู่กับผู้เล่นที่เป็นผู้กำหนดเนื้อเรื่องเองครับ ทำให้เป็นครั้งแรกของซีรี่ย์ที่เกมมีฉากจบหลายแบบ ข้อดีของระบบการโต้ตอบบทสนทนาในเกม Assassins’s Creed Odyssey คือระบบไม่จำกัดเวลาในการตอบ ดังนั้นใครคนไหนภษาอังกฤษไม่แข็งแรงก็มีเวลาตอบแบบไม่ต้องรีบ นอกจากนี้บางกรณีระบบจะแสดงสัญลักษณ์กำกับไว้ด้านหน้าของคำตอบว่าหากเลือคำตอบนี้จะมีผลอย่างไร เช่น สัญลักษณ์ดาบก็คือต้องการสังหารทันที หรือ สัญลักษณ์หัวใจก็คือไปจีบตัวละครตัวนั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเพศตรงข้ามก็ได้นะ
ความรู้สึกหลังจากที่ผู้เขียนได้สัมผัสตัวเนื้อเรื่องของเกมแล้ว รู้สึกว่ามีความเข้มข้นกว่าภาค Origins มากขึ้น มีการเล่นลูกเล่นที่ NPC มากขึ้นทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่แค่ตัวประกอบในเกมที่มาช่วยเติมเต็มช่องว่างในเกม แต่รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเกมจริงๆ ด้วยความรู้สึกนี่เองทำให้อารมณ์ของเกมจะคล้ายๆ กับ The Witcher 3 ครับ และด้วยฉากจบหลายแบบ มีตัวละครให้เลือกเล่นถึง 2 ตัว ดังนั้นแม้ว่าเล่นเกมจบแล้ว ก็สามารถกลับมาเล่นใหม่โดยไม่ทำให้เบื่อครับ แต่สิ่งที่มีปัญหาจริงๆ คือทุกครั้งทีมีฉากคัทซีนเกมจะถูกขั้นด้วยหน้าโหลดก่อนทุกครั้ง และแต่ละครั้งก็โหลดนานเหมือนกัน โดยจริงๆ แล้วเกมในยุคนี้ควรจะไม่มีหน้าโหลดที่ขั้นระหว่างคัดซีทที่นานเช่นนี้ ซึ่งควรกลมกลืนไปกับเกมเพลย์ด้วยซ้ำ
เกมเพลย์
เมื่อพูดถึงระบบเกมเพลย์ของ Assassins’s Creed Odyssey แล้ว Ubisoft ก็ยังคงนำเสนอเกมในรูปแบบ Open-World ตามแบบฉบับของซีรี่ย์ครับ หากใครเคยเล่นภาค Origins อาจจะพบว่าระบบการเล่นของภาค Odyssey คล้ายคลึงกับภาคก่อน ผู้เล่นจะรับภารกิจเควสต์เนื้อเรื่องหรือเควสต์ย่อย ตามพื้นที่ต่างๆ เมื่อผู้เล่นทำเควสต์สำเร็จ ก็จะได้ค่าประสบการณ์เป็นค่าตอบแทนครับ ซึ่งแต่ละพื้นที่ในเกมก็จะแบ่งเป็นเลเวลอย่างชัดเจน เล่นไปตามเควสต์หลักเกมก็จะเริ่มเปิดพื้นที่ต่างๆ มากขึ้นครับ นอกจากเควสต์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำแล้ว แต่ละเมืองหรือแต่ละพื้นที่ยังมีกิจกรรมย่อยๆ มากมาย ให้ผู้เล่นได้สนุก และร่วมสำรวจไปด้วยกันครับ
อย่างที่กล่าวไปขั้นต้นว่าเกมเพลย์คล้ายคลึงกับภาค Origins ทำให้เกิดคำถามว่าเกมได้ลอกแบบมาจากภาค Origins หรือเปล่า? ผู้เขียนยืนยันได้เลยว่าทางผู้พัฒนาได้ทำการบ้านมาดีมาก เพราะสิ่งที่ปรับปรุงจากภาค Origins นี่เองทำให้ตัวเกมเพลย์ออกมาสมบูรณ์แบบ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือเกมนำเสนอรูปแบบ RPG เต็มตัว ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเลือกสายการเล่นที่เหมาะกับตัวเองได้ โดยสกิลในเกมจะแบ่งออกเป็นหลักๆ อยู่ 3 ประเภท รวมแล้วมากกว่า 12 สกิล ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกเล่นได้ตามใจชอบครับ ตัวเกมค่อนข้างจะเปิดช่องให้ผู้เล่น ซึ่งสามารถผสมผสานสกิลได้ตามถนัดของผูเล่นได้ทันที หากผู้เล่นไม่ถูกใจกับสกิลที่อัพเกรดไป ผู้เล่นก็สามารถรีเซ็ทค่าสกิลใหม่ได้ตลอดเวลาครับ นี่เป็นข้อดีที่หาไม่ได้จากเกมอื่นๆ ครับ
ไม่ว่าระบบเกมเพลย์ของเกมภาคใดก็ตามในซีรี่ย์ Assassins’s Creed จะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่สไตล์การนำเสนอบางอย่างก็ยังคงแบบฉบับดั่งเดิมเรื่อยมาครับ ทั้งการซ่อนตัวกองหญ้าเพื่อทำการย่องเบาเข้าไปรอบสังหาร, การปืนไต่สิ่งปลูกสร้างต่างๆ หรือการ Synchronize ที่ปืนขึ้นที่สูงเพื่อเปิดแผนที่ รูปแบบการเล่นเหล่านี้ยังคงกลิ่นอายอักลักษณ์ของเกมในซีรี่ย์ Assassins’s Creed ได้เป็นอย่างดี
สำหรับระบบอาวุธภายภาคนี้ ทางผู้พัฒนาได้มีการเพิ่มการปรับแต่งเครื่องแต่งกายของตัวละครให้มีความหลากหลายมากขึ้น ต่างจากภาค Origins ที่อญาตให้ผู้เล่นแค่เพียงเปลี่ยนชุดไปเป็นแต่ละชุดเท่านั้น แต่ในภาคนี้จะอนุญาตให้ผู้เล่นเลือกปรับแต่งเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้นได้ทันที และเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้นยังมาช่วยเพิ่มความสามารถและทักษะทางด้านต่างๆ ให้กับตัวละคร อีกทั้งยังสามารถตีบวกเครื่องแต่งกายต่างๆ เหมือนกับอาวุธได้เลย
ไฮไลท์ของ Assassins’s Creed Odyssey นี้คือระบบ Conquest Battles เพราะเกมจะตั้งอยู่ในเหตุการณ์สงครามศึกใหญ่ระหว่างสปาร์ตาและเอเธนส์ ทำให้ในระแวกภูมิภาคกรีซไม่ว่าจะเป็นทางบนบกและทางทะเลล้วนแล้วจะมีทัพทั้ง 2 ฝ่ายแย่งชิงความเป็นใหญ่กันอยู่ ผู้เล่นในฐานนะทหารรับจ้างมีสิทธิ์ที่จะเลือกฝ่ายสงครามได้ ดังนั้นการเลือกฝ่ายและการกระทำของผู้เล่นจะมีผลต่อสงควรามทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้เล่นจะเลือกอยู่ฝ่ายใด เมื่อผู้เล่นบุกเข้าทำลายแคมป์, ฐานขอฝ่ายตรงข้ม หรือสังหารแม่ทัพ จะทำให้อิทธิพลของฝ่ายตรงข้ามลดลง และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งทั้งทัพสองฝ่ายจะปะทะกันครับ ในจุดนี้สกิลที่ดีที่สุดคือสกิลการโจมตีระยะประชิด เพราะพื้นที่ค่อนข้างเปิดโล่ง และฝ่ายศัตตรูพยายามโจมตีเข้าให้ตัวเราตลอดเวลา ดังนั้นสกิลยิงธนู หรือลอบสังหารจะไม่มีประสิทธิภาพครับ
เนื่องด้วยเกม Assassins’s Creed Odyssey เป็นภาคที่มีแผนที่ ที่กว้างและใหญ่ที่สุดของซีรี่ย์ ดังนั้นจริงมีภารกิจย่อย และกิจกรรมเสริมมากมายให้ผู้เล่นได้เลือกทำครับ นอกจากที่ผู้เล่นจะตามบุกยึดค่ายโจรตามแผนที่ต่างๆ แล้ว ยังมีภารกิจย่อยๆ จาก NPC ด้วย โดยภารกิจเหล่านี้ไม่ใช่แค่วานให้ผู้เล่นไปสังหารศัตรูเพียงออย่างเดียว แต่มีหลากหลายประเภทจนนับไม่ถ้วนเลยยกตัวอย่างเช่น NPC อาจจะวานให้เราช่วยไปเก็บสมุนไพรมาทำยารักษาโรค, ช่วยสืบหาต้นตออะไรบางอย่าง เป็นต้นครับ เมื่อทำสำเร็จก็จะได้ค่าประสบการณ์ และไอเทมต่างๆ เป็นรางวัลตอบแทนครับ
ส่วนกิจกรรมที่จะไม่พูดก็คงไม่ได้นั่นก็คือ เรือในเกมภาคนี้ครับ เพราะทางผู้พัฒนาได้นำระบบการอัพเกรดเรือกลับมาในภาคนี้ด้วย ผู้เล่นจะสามารถอัพเกรด กำลังคน, ผู้นำที่จะมาร่วมทัพบนเรือ, อัพเกรทอาวุธบนเรือ และอัพเกรดเกราะของเรือให้แข็งแรงและทนทานมากขึ้น เป็นต้น พูดได้ว่าครบเครื่องกว่าภาค Origins แต่ไม่สุดเท่าภาค rogue ที่มีเรือศัตรูโหดมากกว่า นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่คือระบบเดินเรือแบบรวจเร็ว หากผู้เล่นกดใช้งาน สมาชิกบนเรื่อจะเริ่มเร่งกำลังเร็วให้ขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น จนถึงขั้นที่ว่าใบเรือฉีกขาดได้ครับครับ ถือว่าเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยเพื่อเพิ่มความสมจริงขณะล่องเรือครับ
ตัวเกมเพลย์ยังเพิ่มความมันส์ของเกม นักพัฒนาได้ใส่ระบบที่เรียกว่า “Mercenary” หรือ “นักล่าค่าหัว” ซึ่งตามเมืองต่างๆ จะมีการติดประกาศสำหรับนักล่าค่าหัว เพื่อให้ไปสังหารบุคคลอันตราย หากสามารถกำจัดได้สำเร็จก็ได้รับไอเทมสุดพิเศษและค่าประสบการเป็นรางวัล นอกจากนี้ยังได้รับชุดเกราะฟรีๆ ผู้เล่นจะได้รับอาวุธสุดแรร์ที่ดรอปจากบุคคลอันตรายที่ผู้เลนสังหารด้วย แต่ไม่เพียงแค่นั้นครับ ผู้เล่นเองอาจจะโดนหมายหัวเป็นบุคคลอันตรายเสียเอง แล้วโดนเหล่านักล่าค่าหัวที่เดินทางไปตามเมืองต่างๆ สังหารเองก็ได้ สิ่งที่จะทำให้ผู้เล่นโดนนหมายหัวคือ ขโมยของ/ขโมยเงิน หรือฆ่าผู้นำคนสำคัญ จะทำให้ระดับ Mercenary สูงขึ้น จนกระทั่งจะมีนักล่าค่าหัวตามฆ่าเรา และถ้าถึงระดับสูงสุด แค่ผู้เล่นยืนเฉยๆ ก็อาจจะโดนสังหารได้ แล้วนักล่าค่าหัวเหล่านี้ จะคอยตามรังควานสังหารผู้เล่นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงทำภารกิจก็ตาม
สรุปแล้วเกมเพลย์ของ Assassins’s Creed Odyssey สามารภทำออกมาให้มีความหลากหลายมากขึ้น ให้อิสระต่อผู้เล่นมากขึ้น ปรับปรุงและต่อเติมส่วนที่ขาดไปจากภาค Origins ได้เป็นอย่างดี มีกิจกรรมให้ทำจนไม่รู้จบ รวมถึงคอนเทนท์ที่ทาง Ubisoft ได้วางไว้มากมายในอนาคต บอกได้คำเดียวว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ
กราฟิก
กราฟิกที่นำเสนอในเกม Assassins’s Creed Odyssey นี้ทำออกมาได้สวย ตระการตามากๆ ทั้งการเล่นแสงอาทิตย์ในเกมดูสมจริงกว่าภาค Origins ที่ยังมีการใช้เทคนิคการเบลอเข้ามาช่วยบ้าง ในภาคนี้ ส่วนของวิวทิวทัศน์, ทะเลมหาสมุทร และบรรยายกาศโดยรวมล้วนแล้วทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ
แม้ว่าตัวพื้นผิว ของตัวละครประกอบฉากจะไม่เรียบเนียนไปซะหมด แต่ก็ต้องยอมเขาหน่อยแหละ เพราะเกมค่อนข้างที่จะใหญ่ ซึ่งการที่จะทำออกมาละเอียดยิบนั้นอาจจะพัฒนาไม่ทันให้เราเล่นก็ได้ครับ ส่วนตัวผู้เขียนแล้วสิ่งที่ประทับใจอยู่ตลอดมาคือสีส้นของน้ำทะเล และมหาสมุทรทำออกมาได้สีสันสดใสมากๆ ในระหว่างร่องเรือผู้อ่านชอบกด Photo Mode ขึ้นมาถ่ายภาพทุกครั้ง เรื่องนี้ต้องยกให้ผู้พัฒนาไปเต็มๆ
Verdict
พูดได้คำเดียวว่า Assassins’s Creed Odyssey เป็นหนึ่งในเกมจากซีรี่ย์ Assassins’s Creed ที่ดีที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ครับ นักพัฒนาได้ทิ้งโหมดออนไลน์เพื่อหันกลับมาโฟกัสที่เนื้อเรื่องและระบบเกมเพลย์ของเกมเป็นหลัก ผลคือเกมเพลย์ที่ปรับปรุงจากภาค Origins ได้เป็นอย่างดีและเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาใหม่ซึ่ง สามารถผสมผสานกับเกมเพลย์ได้เป็นอย่างดี มีกิจกรรมใฟ้ทำมากมายไม่รู้จบ และการนำเสนอเนื้อเรื่องและการโต้ตอบบทสนทนาแบบสไตล์เกม RPG พร้อมฉากจบหลายแบบ ทำให้ผู้เล่นสามารถดำเนินเรื่องเองตามที่ใจต้องการ แล้วแม้ว่าผู้เล่นจะเคลียร์เกมแล้ว ก็ยังสามารถกลับมาเล่นใหม่ ในอีกตัวละครนึงก็ได้ ถ้าใครกำลังมองหาเกมแอคชั่นสไตล์ RPG แบบนี้ ทางผู้เขียนพูดได้เต็มปากเลยว่าเกม Assassins’s Creed Odyssey เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ครับ
9/10
จุดเด่น (Pro)
- เกมนำเสนอตัวละครเอกถึง 2 ตัวให้ได้เลือกเล่น
- ผู้เล่นมีสิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางของเนื้อเรื่องให้เกม จากตัวเลือกบทสนทนาได้
- เกมเพลย์มีการพัฒนาและปรับปรุงจากภาคก่อนมาก
- กราฟิกที่สวยงามและตระการตา
จุดสังเกต (Con)
- เกมมีหน้าโหลดขั้นระหว่างคัทซีนทุกฉาก
- ไม่มีโหมดออนไลน์เหมือนสมัยก่อน
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณ Ubisoft
และ บริษัท NGIN จำกัด
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ