ผู้เขียนเชื่อว่าขณะนี้หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยโซนี่ไทยเปิดตัวราคาและวันวางจำหน่าย PlayStation 5 อย่างเป็นทางการอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไร้ซึ่งวี่แวว ทว่าทางเว็บไซต์เราได้ซื้อเครื่องหิ้ว PS5 มาของลองสัมผัสกันก่อนเพราะอยากรู้จริง ๆ ว่ามันไฮป์ตามที่หลายคนบอกหรือไม่? ก่อนจะไปต่อสำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านบทความแกะกล่อง PS5 คลิกที่นี่ วันนี้หลังจากใช้งานและเล่นเกมบน PS5 มาหนึ่งอาทิตย์เต็มผู้เขียนจะมารีวิวความรู้สึกแบบตรงไปตรงมาหลังสัมผัส PS5 ว่ามันดีอย่างที่เขาว่ากันไหม กราฟิกมันสวยตระการตาขนาดไหน จอย DualSense เจ๋งสมคําร่ำลือหรือเปล่าวันนี้ผู้เขียนจะมาสรุปให้ฟังกันแบบตรง ๆ ในบทความนี้ หากพร้อมแล้วเรียนเชิญอ่านกันได้เลย
ฮาร์ดแวร์
รูปลักษณ์ภายนอกของเครื่อง PS5 ดูแปลกตามากเมื่อเทียบกับเครื่องคอนโซลจากโซนี่รุ่นก่อน ๆ มันยังมาพร้อมตัวเครื่องขนาดใหญ่และน้ำหนัก 4.5 กิโลกรัมนับเป็นเครื่องคอนโซลน้ำหนักมากที่สุดจากโซนี่ ถึงแม้เครื่อง PS5 จะใหญ่แต่ผู้เขียนคิดว่าวัสดุและผิวสัมผัสเครื่องคอนโซลให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมกว่าเครื่องคอนโซลรุ่นก่อนมากนับว่าออกแบบมาดี การทำงานของเครื่องเงียบมาก ๆ ผู้เขียนเล่นเกมติดต่อกัน 5 – 6 ชั่วโมงสลับเกมไปมา ไม่เคยได้ยินเสียงพัดลมเครื่องดังแม้แต่ครั้งเดียว ตัวเครื่องบริเวณด้านหลังไม่ร้อนเพียงแค่อุ่น ๆ เท่านั้น ต้องขอบคุณพัดลมขนาดใหญ่และ Liqual Metal ที่ช่วยให้ PS5 เย็นอยู่ตลอดเวลา
ส่วนเรื่องความจุของเครื่อง PS5 มาพร้อม SSD แบบฝังบนบอร์ดขนาด 825 GB ต้องเรียนตามตรงว่าเป็นความจุที่แปลกมากนะ มันอยู่ระหว่าง 500 GB และ 1 TB ซึ่งพื้นที่ใช้งานจริงใช้ได้เพียง 667 GB เท่านั้น ผู้เขียนติดตั้งเกมไป 6 เกมพื้นที่เกือบจะเต็มแล้ว และสิ่งที่ทำให้พื่นเต็มเร็วกว่าเดิมคือระบบอัดคลิปวีดีโอสั้นเมื่อเราคว้าถ้วยรางวัลเพราะมันอัดตามความละเอียดของจอเรา หวังว่าโซนี่จะเปิดใช้งาน SSD M2 Slot ในเร็ว ๆ นี้
กลับมาเรื่องการออกแบบกันต่อ ต้องชื่นชมโซนี่อีกอย่างคือ เขาคิดคำนึงมาแล้วในแง่พฤติกรรมการใช้งานตั้งแต่ขาตั้งเครื่องมีที่เก็บน็อต ฝาครอบเแกะออกได้โดยง่าย ไปจนถึงมีช่องให้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอาสิ่งสกปรกออก มีข้อเสียอย่างเดียวที่ผู้เขียนไม่ชอบคือบริเวณผิวของตัวเครื่องหลักที่เป็นผิวสีดำแบบมันเงา มันเป็นรอยนิ้วมือและเป็นรอยง่ายมาก ต่อไปถ้ารักษาไม่ดีมันจะเป็นรอยขนแมวได้ แต่โดยรวมแล้วฮาร์ดแวร์ทำออกมาได้ดีสมราคาเครื่อง
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการของ PlayStation 5 เป็นการยกเครื่องทำใหม่ตั้งแต่ศูนย์เพื่อประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานสูงสุดให้แก่ผู้เล่น ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือเกินคาดครับ UI หรือ User Interface จงใจออกแบบให้มีความหรูหราให้เข้ากับดีไซน์เครื่องในการใช้โทนสีทองเป็นพื้นหลังหลักให้ความสบายตา ทางด้านเลย์เอาท์มีลักษณะคล้าย PS4 แต่ถูกต่อยอดปรับปรุงให้มีความสะอาดตาและเน้นโชว์คอนเทนต์มากกว่าเดิม ไอคอนเกมมีขนาดเล็กไม่ดูรกตา โชว์พื้นภาพเกมขนาดใหญ่พร้อมเสียงเพลงชวนให้นึกถึง PS3 อยู่เหมือนกัน ส่วนเมนูด้านบนไอคอนเกมนั้นถูกย้ายออกไปแล้ว แต่มันจะปรากฏขึ้นมาด้านล่างของจอเมื่อกดปุ่ม PS บนจอย DualSense
เมนูที่ซ่อนอยู่นี้แรก ๆ ผู้เขียนบอกเลยไม่ชินเลยโดยเฉพาะการปิดเครื่องคอนโซลซึ่งเรามักจะชินกดปุ่ม PS แล้วปิด แต่บน PS5 กดปุ่ม PS5 เมนูพวกนี้ขึ้นมาจากนั้นค่อยเลือกปิดเครื่อง แต่เมื่อชินแล้วก็ไม่ยากแหละครับ ส่วนความเร็วของตัวระบบบอกได้เลยว่าเร็วมาก เร็วจนผู้เขียนไม่สามารถกลับไปใช้งาน PS4 ได้อีกแล้ว การลงชื่อเข้าใช้ การโหลดดูข้อมูลต่าง ๆ ระบบมันโหลดแบบทันที Instantly ทางด้าน PlayStation Network ทางโซนี่ได้ออกมาแบบมารวบรวมอยู่กับระบบปฏิบัติการ แบบไม่ได้แยกเป็นแอปพลิเคชั่นออกมา ผลคือการโหลดเข้าตัวสไตล์เร็วจี๋ เลือกซื้อเกม/ดาวน์โหลดเกมได้อย่างรวดเร็วไม่หงุดหงิด
แม้ว่าระบบปฏิบัติการของ PS5 จะไม่มีระบบ Quick Resume สลับเกมไปมาเหมือน Xbox Series X แต่การโหลดเข้าเกม การออกจากเกมเร็วมากจนผู้เขียนคิดว่าระบบ Quick Resume คงไม่จำเป็น และมันมีระบบมัลติทาสก์มาแทนที่ ผู้เล่นสามารถฟังเพลงจาก Spotify ไปเล่นเกมไปแบบชิว ๆ สามารถพูดคุยกับเพื่อนบนทั้ง PS4 และ PS5 แบบขอแชร์หน้าจอดูเพื่อนเล่นเกมไปพร้อม ๆ กันได้ตรงนี้ทำได้ไหลลื่นเหมือนกัน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่คือ Control Center อนุญาตให้เราติดตามความคืบหน้าของเราในเกม ยิ่งไปกว่านั้นเกมไหนที่รองรับฟีเจอร์นี้เต็มตัวเรายังสามารถเข้าไปเล่นด่านนั้น หรือโหมดนั้นในเกมได้ทันทีและโหลดเร็วด้วย ส่วนตรงนี้ต้องบอกตามตรงว่าระบบดีจริงแต่เกม 3rd Party อย่าง Assassin’s Creed Valhalla, Watch Dog: Legion ไม่ได้นำระบบตรงนี้มาใช้ มันก็เหมือนเล่นเกมปกติไม่ได้มีความพิเศษอะไร เช่นเดียวกับ Game Help สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก PS Plus ระบบจะบอกใบ้ผู้เล่นวิธีการผ่านด่าน หรือหาไอเทมสะสม ณ จุดนั้น ในรูปแบบวีดีโอคลิปซึ่งเราสามารถดูไปเล่นไปได้เลยนะ ทว่าก็อีกแหละขึ้นอยู่กับนักพัฒนาด้วยว่าจะใส่ลูกเล่นนี้มาไหม ตามคาดครับเกมเอ็กซ์คลูซีฟใส่มาซึ่งดีมากนะ แต่เกม 3rd Party ไม่ได้ใส่มาดังนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ ต้องมารอดูในอนาคตว่าสุดท้าย 2 ฟีเจอร์นี้จะยั่งยืนหรือเปล่า
สรุประบบปฏิบัติการของ PS5 ออกแบบมาไร้ที่ติแม้ว่าฟีเจอร์บางอย่างอาจจะไม่ได้มารองรับในช่วงแรกรวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่หลายคนประสบอยู่ แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีอยู่ แล้วในอนาคตเฟิร์มแวร์จะพัฒนาไปในรูปแบบใดเราคงต้องติดตามกันไปครับ
กราฟิก
ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นหัวข้อที่มีผู้คนอยากรู้มากที่สุดเลยก็ว่าได้ ว่าเฮ้ย PS5 กราฟิกมันจะสวยกว่า PS4 หรือเปล่า? PS5 มาพร้อมพลังประมวลผลกราฟิกจาก AMD กับเทคโนโลยีขับเคลื่อน RDNA2 ทำความแรงได้ถึง 10.5 TFLOP มันจึงมีศักยภาพพอประมวลผลภาพออกมาที่ความละเอียดสูงสุด 8K อัตราเฟรมเรตสูงสุด 120 FPS และรองรับ Ray-Tracing จากการสัมผัสเกมต่าง ๆ แล้ว เกมที่เห็นผลศักยภาพกราฟิกสูงสุดผู้เขียนยกให้เกม Marvel’s Spider-Man: Miles Morales, Devil May Cry 5 และ Dark’s Soul Remastered ทั้งสองเกมนี้สามารถเลือกโหมดการแสดงผลได้สองโหมดระหว่าง ประสิทธิภาพ หรือ กราฟิก หากเลือกประสิทธิภาพมันจะล็อคความละเอียดที่ 1080p แต่เฟรมเรตจะนิ่งอยู่ที่ 60 FPS แต่ปิดใช้งาน Ray-Tracing หรือโหมกราฟิกจะแสดงผลความละเอียดสูงสุด 4K อัตราเฟรมเรตนิ่ง ๆ อยู่ที่ 30 FPS พร้อมเปิดใช้งาน Ray-Tracing
ผลประสิทธิภาพน่าพอใจมากครับไม่ว่าจะเลือกเล่นโหมดไหนเฟรมเรตก็ไม่ตกครับนิ่งมาก ภาพไม่มีกระตุกลื่นไหลไร้ปัญหา เพียงแต่ถ้าเลือกเป็นโหมดประสิทธิภาพจะรู้สึกลื่นกว่าเพราะอัตราเฟรมเรตอยู่ที่ 60 FPS ส่วนถ้าเลือกโหมดกราฟิกจะได้ความฟินความละเอียดของภาพ และ Ray-Tracing กับการสะท้อนวัตถุต่าง ๆ มันทำงานได้ดีเลยแหละ แต่ทว่าหากพูดถึงความแตกต่างระหว่างกราฟิกจริง ๆ ไม่นับ Ray-Tracing ผู้เขียนได้ลองเกมอื่น ๆ อย่าง Assassin’s Creed Valhalla, Watch Dog: Legion รวมถึงเกมที่กล่าวมาด้านบน มันแยกด้วยสายตาระหว่างเล่นแทบจะไม่ออกเลย นอกเสียจากว่าเอามาเทียบข้าง ๆ กันถึงจะมองออก ต้องมาสังเกตจริง ๆ ถึงจะมองออกว่าเออมันก็ต่างกันอยู่ว่ะ ทั้งโทนสีและพื้นผิว อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่เราโฟกัสที่เกมเพลย์แล้วเอาจริงคือแยกไม่ออกนะ กราฟิกไม่ได้ก้าวกระโดดขนาดเราเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนสมัย PS2 -> PS3 หรือ PS3 -> PS4 ถ้าใครหวังเห็นพัฒนาการกราฟิกแบบก้าวกระโดดผู้เขียนแนะนำให้รอสัก 1-2 ปีค่อยซื้อ ถึงเวลานั้นเกมถึงจะดึงศักยภาพออกมาได้เต็มที่
การโหลดระหว่างฉากแทบจะไม่มีเลย โดยเฉพาะเกมเอ็กซ์คลูซีฟ PlayStation พูดง่าย ๆ คือมันไม่มีหน้าโหลดคั่นเลยแหละ จุดนี้สร้างประสบการณ์การเล่นได้ดีมาก ๆ ต่อไปผู้เขียนเชื่อว่าเราจะรอโหลดเข้าเกมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นมันไม่ใช่ทุกเกมนะที่ตัดหน้าโหลดออกเกมอย่าง Assassin’s Creed Valhalla, Watch Dog: Legion ยังมีหน้าโหลดคั่นกลางเพียงแต่มันโหลดเร็วกว่า PS4 เรียกได้ว่าเกินครึ่งและเห็นได้ชัดเจนอยู่ดี
ผู้เขียนสรุปให้ว่าหากใครมองหาประสิทธิภาพโดยเฉพาะเฟรมเรตนิ่ง ๆ เหมาะจะสอยเดย์วันมาก เพราะไม่ใช่แค่เกม PS5 ที่รันเฟรมเรตนิ่ง มันรวมไปถึงเกม PS4 ที่เล่นผ่านระบบ Backward Compatibility ก็จะได้เฟรมเรตที่นิ่งเช่นเดียวกัน ทางกลับกันหากใครเล่นเกมโดยคำนึงถึงกราฟิกเป็นหลักอาจจะไม่เหมาะซื้อในเดย์วัน เพราะพัฒนาการกราฟิกยังเห็นไม่ชัดขนาดนั้นแทบไม่ต่างเลยดีกว่า ถ้าจะให้เห็นความต่างชัดเจนรออีก 1-2 ปีค่อยซื้อไม่สาย
DualSense คอนโทรลเลอร์
การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของเน็กซ์เจนของ PS5 ไม่ได้อยู่ที่ความแรงประมวลผลของเครื่องอย่างเดียว แต่โซนี่ได้พัฒนาคอนโทรลเลอร์ใหม่ขึ้นมามาพร้อมรูปทรงใหม่ เทคโนโลยีใหม่ และชื่อใหม่กับ DualSense คอนโทรลเลอร์ สำหรับฟีเจอร์ใหม่ได้แก่ระบบสั่นแบบใหม่ (Haptic Feedback) เป็นการเปิดมิติในการสั่นจากเดิมจอยจะสั่นจุดเดียว มาสั่นหลายจุดและสามารถสั่นเฉพาะจุดได้ จากการสัมผัสมันเหมือนระบบสั่น taptic engine ของไอโฟนความรู้สึกเดียวกันเลยมันสั่นเฉพาะจุดที่ต้องการได้ การสั่นละเอียดจนรู้สึกได้เลยนะเช่นการเดินบนพื้นที่เป็นทรายให้การสั่นเป็นเม็ด ๆ หรือเดินท่ามกลางลมแรง จะรู้สึกถึงสั่นแรง ๆ ต้านเราอยู่ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่อยากกลับไปเล่นจอย DualShock 4 อีกเลย
ระบบสั่นแบบใหม่ (Haptic Feedback) ถูกเสริมด้วยอีกหนึ่งฟีเจอร์อันโดดเด่นคือ Adaptive Trigger หรือทริกเกอร์ปรับตัวได้ มันเป็นทริกเกอร์ปุ่ม L1/R2 ที่มีกลไกฝังอยู่ปรับระดับการกดต้านสู้นิ้วเราได้ เกมที่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ดีสุดคงเป็นเกม Call of Duty: Black Opt Cold War ตอนเราเหนี่ยวไกปืนมันจะให้ความรู้สึกถึงแรงต้านชัดเจน ปืนแต่ละชนิดให้แรงต้านต่างกันออกไป ปืนกลจะมีแรงต้านสูงทุก ๆ ครั้งที่กระสุนปืนถูกยิงออกไป คือสุดยอดอ่ะถ้าไม่ได้มาสัมผัสเองนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าความรู้สึกมันเป็นแบบนี้เอง ระบบดีจริงครับเกมเอ็กซ์คลูซีฟทุกเกมนำความสามารถนี้มาใช้ในตัวเกมของพวกเขา แต่เหมือนเคยครับเกม 3rd Party ที่ผู้เชียนสัมผัสนะ Assassin’s Creed Valhalla, Watch Dog: Legion ไม่ได้ดึงคุณสมบัตินี้มาใช้ แต่ในอนาคตผู้เขียนเชื่อว่าค่ายพัฒนาหลาย ๆ บริษัทจะนำคุณลักษณะพิเศษนี้มาใช้เพราะมันสร้างความแตกต่างให้ประสบการณ์การเล่นดีขึ้นมาจริง ๆ
การใช้งานจอย DualSense เป็นเวลานานสำหรับตัวผู้เขียนแล้ว มันสะดวกสบายจับถนัดมือกว่า DualSense 4 และไม่เมื่อยแม้จะเล่นเกมติดต่อกัน 5-6 ชั่วโมง ยิ่งคนที่มีมือใหญ่ ๆ มันจะจับได้พอดีมาก ๆ ส่วนแบตเตอรี่อยู่ได้นานพอสมควรเลยครับ เว้นแต่จะเล่นเกม Astro Playroom ที่มันใช้ฟีเจอร์ Adaptive Trigger และ Haptic Feeback แทบจะตลอดเวลาเลย ผู้เขียนเล่นเกมนี้ติดต่อกัน 3 ชั่วโมงแบตของจอย DualSense เกือบหมดครับ แต่ถ้าหากเป็นเกมธรรมดาแบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานกว่า 7-8 ชั่วโมงครับ ส่วนการชาร์จมันทำได้เร็วกว่า DualShock 4 ต้องขอบคุณ USB Type-C ที่ทำให้จอยชาร์จได้เร็วขึ้น
ข้อสังเกตระหว่างการใช้งาน DualSense คอนโทรลเลอร์คือ ไมโครโฟนที่บิ้วอินมากับตัวจอยมันจะเปิดอยู่ตลอดเวลาจนกว่าเราจะไปกดปิดที่ปุ่มปิด/เปิดไมค์บนตัวจอย ดังนั้นเนี่ยถ้าเล่นออนไลน์ระวังเผลอเปิดไว้นะครับ และด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ของจอยพอเล่นไปนาน ๆ ผู้เขียนสังเกตได้ว่าบริเวณด้านล่างของตัวจอยเริ่มอุ่น ๆ ไม่ถึงกับร้อน แต่นอกเหนือจากนี้ดีในทุก ๆ ด้านและไม่อยากกลับไปใช้คอนโทรลเลอร์รุ่นเก่าอีกเลย
สรุป
PlayStation 5 เป็นเครื่องคอนโซลเจนเนอร์เรชั่นใหม่ที่อนาคตสดใสรออยู่แน่นอน ในช่วงแรกนี้เราอาจจะยังไม่เห็นความแตกต่างระหว่าง PS5 และเครื่องเกมรุ่นก่อนมากนัก แต่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าเมื่อนักพัฒนาเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีของ PS5 แล้วพวกเขาจะสร้างเกมในจินตนาการของพวกเขาออกมาพร้อมกราฟิกสวยงามแบบที่ไม่สามารถทำได้ในคอนโซลรุ่นก่อน รวมถึงการดึงคุณสมบัติเฉพาะของ PS5 ออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ คำถามสำคัญตอนนี้คือ “ควรซื้อ PS5 เลยไหม” ผู้เขียนแนะนำรอเครื่องศูนย์ที่มีการตั้งราคาเหมาะสมดีกว่า มันสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ได้กว่า แล้วหากได้เครื่องหิ้วมีปัญหาไปผู้เขียนว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย สุดท้ายนี้ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยประกอบการตัดสินใจของทุกท่านไม่มากก็น้อยครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนสวัสดีครับ
บทความโดย Play4Thai