เกม: Until Dawn Remake
แพลตฟอร์ม : PS5 และ PC
ภาษา: อังกฤษ
ราคา: 1,990 บาท
วันวางจำหน่าย: 4 ตุลาคม 2024
ช่วงหลังมานี้เราได้เห็นโซนี่นำเกมเก่ามารีมาสเตอร์ หรือไม่ก็นำมารีเมคใหม่ทั้งหมด ล่าสุดถึงคิวของ Until Dawn ผลงานการพัฒนาของ Supermassive Games วางจำหน่ายครั้งแรกบน PS4 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2015 เป็นเวลา 9 ปีเต็มหลังเกมต้นฉบับโซนี่ได้วานให้ค่าย Ballistic Moon ทำการรีเมคเกมขึ้นมาใหม่ทั้งหมด มีการปรับปรุงเรื่องงานภาพ เพิ่มคอนเทนต์เล็ก ๆ น้อย ๆ และปรับปรุงเกมเพลย์ให้ทันสมัยมากขึ้น แต่มันจะคุ้มค่ากับการซื้อมาเล่นอีกครั้งไหม แล้วคนที่ไม่เคยเล่นล่ะ? ควรจัดมาเล่นดีหรือเปล่า มาหาคำตอบได้กับรีวิว Until Dawn Remake – ค่ำคืนสยองก่อนรุ่งสาง
เนื้อเรื่อง
หากใครยังไม่เคยเล่นมาก่อน Until Dawn จะเล่าเรื่องของวัยรุ่นเพื่อนสนิทกลุ่มหนึ่งจำนวน 8 คนได้เดินทางไปพักผ่อนเที่ยวเล่นในบ้านกระท่อมไมักลางป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะ เรื่องดำเนินไปมีการเตี๊ยมแกล้งเพื่อนกัน แต่ทว่าเรื่องมันกลับบานปลายจนมีคนตาย และเป็นคดีปริศนาเนื่องจากไม่มีใครพบศพผู้ตายอีกเลย….
จนเวลาล่วงเลยไป 1 ปีต่อมาเพื่อน ๆ ของกลุ่มก็ได้กลับมายังบ้านกระท่อมไมัอีกครั้ง เพื่อเป็นการระลึกถึงเพื่อนที่เสียชีวิต แต่แล้วการกลับมาในครั้งนี้พวกเขาจะต้องเจอเรื่องราวอันสุดสยองขวัญ ประสาทหลอน เพื่อเอาชีวิตรอดในค่ำคืนสยองอันแสนยาวนานก่อนรุ่งสาง….
เนื้อเรื่องยังคงดำเนินการเหมือนต้นฉบับ แต่สิ่งที่มีการออกแบบใหม่คือ “Prologue” หรือบทนำของเกม หลัก ๆ คือเพื่อปูพื้นความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่าง Beth, Hannah และ Josh ให้เราทราบเบื้องลึก เบื้องหลัง จนไปถึงฉากเด็ดช่วงท้ายซึ่งทำเอากระแทกหัวใจกว่าต้นฉบับ
ความรู้สึกที่กลับมาสัมผัสเรื่องราวของเกมอีกครั้งหนึ่งนั้น รอบนี้รู้สึกว่าอินกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะภาพสวยขึ้น ตัวละครดูสมจริงมากขึ้น มันราวกับว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญดี ๆ เรื่องนึงเลย
เกมเพลย์
Until Dawn เป็นเกมสไตล์ Puzzle ผสมแอ็คชั่นสยองขวัญ ตัวระบบเกมเพลย์หลักจะใช้ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (The Butterfly Effect) หรือหมายความว่าการตัดสินใจอะไรบางอย่างแม้เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มันอาจส่งผลขนาดใหญ่ในอนาคตได้ ผู้พัฒนาหยิบจุดนี้เองมาสร้างเกม โดยในเกมเราจะได้รับบทเป็นวัยรุ่นทั้ง 8 คนเลย เกมจะสลับตัวละครตามลำดับเหตุการณ์ เราต้องพยายามทุกวิถีทางให้ตัวละครทุกคนรอดชีวิตจนรุ่งสางให้จงได้
เกมจะดำเนินไปเสมือนดูภาพยนตร์ ผู้เล่นจะต้องตัดสินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกม เลือกผิดแม้แต่นิดเดียวตัวละครนั้นอาจจะตายทันที หรืออาจจะส่งผลทำให้ตัวละครนี้ตายภายหลังได้ แน่นอนฉากจบมีหลายแบบ ระบบเกมเพลย์ทั้งหมดนี้ยังคงต้นฉบับไม่ได้เปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ปรับปรุงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดคือ “มุมกล้อง” จากเดิมเกมต้นฉบับมุมกล้องจะเป็นแบบ Fix Angle ไปเป็นมุมมองหลังหัวไหล่แบบ Third Person แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ แต่ทางผู้พัฒนาได้มีการแก้ไขฉากในเกมทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับมุมกล้องใหม่ ผลคือผู้เขียนคิดว่าเกมดูสมจริง และให้อารมณ์น่ากลัวขึ้น เราได้เห็นการเคลื่อนไหวตัวละครที่สมจริงมากกว่าเกม แต่ก็มีบางฉากที่มุมกล้องมันแอบสลับมาเป็นมุม Fix บ้าง (อาจจะเนื่องจากพื้นที่จำกัด) ซึ่งบางครั้งสลับมุมกล้องไปมาเร็ว ๆ ก็แอบมึนเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังมีการปรับตำแหน่งของโทเท็มด้วยนะ มันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว และเวลาเก็บโทเท็มขึ้นมาไม่ใช่ว่าเราจะเห็นเหตุการณ์ในโทเท็มขึ้นมาเลยแบบต้นฉบับ แต่เราต้องเลื่อนหารอยแยกบนโทเท็ม ระบบเกมเพลย์ถึงจะตัดเข้าไปที่ฉากเหตุการณ์ในโทเท็ม ถามว่าการปรับปรุงนี้ดีไหม ผู้เขียนคิดว่ามันก็ทำให้ผู้เล่นต้องคิดเล็กน้อย การหารอยแยกบนโทเท็มก็ไม่ได้ง่าย และไม่ได้ยาก แต่ผู้เขียนคิดว่ามันเสียเวลาไปหน่อย สู้เก็บขึ้นมาแล้วแสดงเหตุการณ์แบบในต้นฉบับเลยดีกว่า
ระบบ “Don’t Move” ในเกมต้นฉบับเราจะได้พบกับเหตุการณ์ที่ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้จอยนิ่งและขยับน้อยที่สุด ซึ่งในเกมภาครีเมคนี้ก็ยังมีระบบนี้อยู่แหละ แต่เสริมระบบช่วยใหม่เข้ามาชื่อ Stay Calm’ สำหรับใครที่มือไม่นิ่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ accessibility อื่นๆ มากมายให้ปรับด้วย
สุดท้ายคือพื้นที่ใหม่ ที่เสริมต่อเติมเข้ามาจากเดิมเล็กน้อยให้ผู้เล่นได้เดินสำรวจ และยังมีการเพิ่มการโต้ตอบกับวัตถุโดยรวมมากขึ้น อย่างไรก็ตามพอได้ไปสัมผัสจริง ๆ ก็รู้สึกแหละว่าพื้นที่บางฉากกว้างขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกฉากและพื้นที่ ที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ใหญ่จนมีนัยสำคัญอะไรขนาดนั้น
กราฟิก และประสิทธิภาพ
จุดเน้นแรกและสำคัญที่สุดในการสร้างรีเมคนี้ขึ้นมาคือ การปรับปรุงภาพจากเวอร์ชั่นต้นฉบับของปี 2015 ผลคือทีมพัฒนาทำออกมาได้ดีมาก ๆ คุณจะสามารถเห็นเอฟเฟกต์ต่างๆ เช่น น้ำและหิมะบนตัวละคร รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายและใบหน้าที่ได้รับการปรับปรุงให้สมจริง และพื้นผิวตัวละครที่เนียนมากขึ้น ไปจนถึงองค์ประกอบของฉากและบรรยากาศสมจริงจนน่าขนลุก ทีนี้ผู้เขียนก็คิดนะว่าเกมปี 2015 บน PS4 กับเกมรีเมคบน PS5 เทคโนโลยีภาพมันไปไกลขนาดนี้เชียวหรือ
ไม่เพียงเท่านี้ มีการปรับปรุงการเสียชีวิตของตัวละครให้ดูรุนแรงยิ่งขึ้น และสามารถมองเห็นรอยฟกช้ำ รอยบาด และคราบน้ำตาได้ชัดเจนขึ้น สิ่งที่ปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดไม่แพ้กันคือเอฟเฟกต์แสงที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เพื่อให้ฉากและตัวละครมีเอฟเฟกต์ทางอารมณ์มากขึ้นตลอดทั้งเรื่อง แค่ episode แรกก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของแสงยามเย็นได้เป็นอย่างดี
สำหรับเรื่องประสิทธิภาพของเกม โดยเกมจะรันบนความละเอียด 4K เฟรมเรต 60 FPS แต่ว่าบางช่วงก็มีความรู้สึกถึงเฟรมเรตที่ดรอปลงเล็กน้อยในฉากที่โดนไล่ล่า แต่นอกนั้นถือว่ารันได้นิ่งดีใช้ได้เลย ส่วนระบบเสียงก็ทำได้ดีฟังแล้วสยอง โดยเฉพาะหากใช้งานหูฟังที่รองรับ 3D Audio นะบอกได้เลยว่าหลอนสุดอ่ะ
Verdict
การกลับมาของ Until Dawn ฉบับรีเมค ผู้พัฒนายังสามารถเก็บองค์ประกอบจากเกมต้นฉบับได้อย่างครบถ้วน แต่มีการยกระดับภาพให้สมจริง มันช่วยสร้างบรรยากาศและอรรถรสสยองขวัญได้ไม่เลวเลย กระทั่งมีการปรับเกมเพลย์อาทิ มุมกล้อง โทเท็ม หรือระบบช่วยเหลืออื่น ๆ เข้ามาให้ทันยุคทันสมัยขึ้น หากใครเคยเล่นแล้วต้องการกลับมาเล่นใหม่ด้วยเหตุผล “ภาพที่คมชัดขึ้น” อันนี้ผู้เขียนแนะนำ ทว่าหากใครเคยเล่นแล้วอย่างกลับมาเล่นเพื่อสัมผัสความแปลกใหม่ อันนี้อาจจะไม่คุ้มเพราะ 99% เหมือนต้นฉบับ แต่ใครยังไม่เคยสัมผัส ผู้เขียนแนะนำให้คุณได้มาลองสัมผัสค่ำคืนสยองก่อนรุ่งสางสักครั้ง
8.5/10
จุดเด่น (Pro)
- เรื่องราวน่าติดตามมาก ทุกการกระทำอาจเปลี่ยนเหตุการณ์ทั้งหมดได้
- งานภาพทำออกมาได้ดีมาก ๆ สมแล้วที่นำมารีเมค
- เกมเพลย์สนุกเหมือนเดิม ราวกับดูหนัง
จุดสังเกต (Con)
- นอกจากงานภาพ และมุมกล้องใหม่แล้ว ไม่ได้รู้สึกต่างจากต้นฉบับเท่าไหร่
- ไม่น่าใส่ระบบโทเท็มใหม่ขึ้นมา ทำให้วคามต่อเนื่องของเกมเพลย์สะดุด
รีวิวและเขียนบทความโดย ภัคพล บัวโทน (GuidePS4EXPErt)
ขอบคุณบริษัท PlayStation Asia
สำหรับแผ่นเกมส์ที่ให้เรามารีวีวครับ